จิตเดิมแท้ของเรานั้นทุกคนนั้นมาจากธรรมชาติอันบริสุทธิ์
สรรพสิ่งทั้งหลายในใต้หล้านี้
ไม่มีอะไรสำคัญเกินกว่า "คุณธรรม"
..... ไหว้เจ้าขอพร
..... ขายคุณธรรม
..... หลักการสอน
..... ทำนายอนาคต
..... งานทุกอย่างต้องมีหลักเกณฑ์
..... เทคนิคในการสรรหาคนดี คนเก่ง
..... เหตุผลในการมอบอำนาจให้คนดี
..... ข้อดีของการเลือกใช้คนดี
.....
ม่อจื๊อ... เป็นบุคคลอันเลิศล้ำ... หรือ ยอดคน... คนหนึ่งในยุคของเขา...
ตลอดทั้งร่างของม่อจื๊อ... เปี่ยมไปด้วยพลังขับเคลื่อนที่มีชีวิตชีวา ดวงตาของเขามักเปี่ยมแววมุ่งหวังรอคอย เมื่อพูดถึงโลกหล้าที่ปราศจากศึกสงคราม ...
ม่อจื๊อ... เป็นลูกผู้ชายอันเข้มแข็ง...ที่รังเกียจพฤติกรรมของคนต่ำช้า...ที่เห็นสมบัติ... เห็นอำนาจแล้วลืมคุณธรรมเป็นที่สุด... เขาเป็นคนมีปณิธาน... เต็มไปด้วยความคิดต่อสู้ตั้งแต่เล็ก...ไม่ว่าอุปสรรคขวากหนามอันใด...ล้วนไม่อาจบั่นทอนปณิธานในชีวิตของเขาที่เป็นอุดมคติอันสูงส่ง...
ผู้คนที่ได้พบเห็นรู้จักม่อจื๊อ... จะรู้สึกว่า... ตลอดร่างของบุรุษผู้นี้เปี่ยมไปด้วยพลังในทุกอากัปกิริยา... ให้ความรู้สึกที่ปลอดโปร่งสง่างามแก่ผู้ได้เห็น ...
ม่อจื๊อ... มีรูปร่างปานกลาง... ผิวค่อนข้างคล้ำเพราะกรำแดด... เขามีโครงสร้างร่างกายที่แข็งแรง... ดวงตาทั้งคู่ของเขาเป็นประกายที่ฉายแววเด็ดเดี่ยว และบ่งบอกถึงการมีสติปัญญาที่ล้ำเลิศเหนือผู้คน...
ม่อจื๊อ... เป็นคนที่มีพรสวรรค์ในการเรียนรู้... ไม่ว่าเล่าเรียนอะไร... เขาจะเรียนรู้ได้เร็ว... และเหนือล้ำกว่าคนทั่วไป... ความสงสัยอยากรู้ในทุกเรื่อง เป็นพลังขับเคลื่อนให้ม่อจื่อมุมานะฝึกฝนตนเองในศาสตร์ และศิลปะต่างๆ... จนเขากลายเป็น...ผู้ทรงภูมิปัญญาอันลึกล้ำไพศาลในยุคสมัยของเขา...
อู๋หม่าจือกล่าวกับม่งจื๊อว่า...
"ข้าพเจ้าไม่เหมือนท่าน... ข้าพเจ้าไม่สามารถมีความรักอันไพศาล... ข้าพเจ้ารักชาวโจวมากกว่าชาวแย่... รักชาวหลู่มากกว่าชาวโจว... รักคนบ้านเดียวกันมากกว่าชาวหลู่... รักคนในบ้านมากกว่าคนนอกบ้าน... รักพ่อแม่มากกว่าญาติพี่น้อง... รักตัวเองมากกว่ารักพ่อแม่... เพราะว่าคนที่ยิ่งใกล้ชิดข้าพเจ้า... ข้าพเจ้าก็ยิ่งเอาใจใส่อย่างลึกซึ้ง ...
การที่มนุษย์รักคนที่ใกล้ชิดกับตนเองนั้น มันเป็นเรื่องธรรมดา...
"ถ้าหากข้าพเจ้าถูกทุบตี... ข้าพเจ้าย่อมรู้สึกเจ็บปวด... แต่ถ้าคนอื่นถูกทุบตีข้าพเจ้า...ย่อมไม่รู้สึกเจ็บปวด...
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ แล้วทำไมข้าพเจ้าจะไม่ปกป้องตรงที่รู้สึกเจ็บปวด...แต่กลับจะไปปกป้องไอ้ตรงที่ไม่รู้สึกเจ็บปวดเล่า...?
"ด้วยเหตุนี้... ข้าพเจ้าจึงต้องฆ่าคนอื่นเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง... ไม่มีทางฆ่าตัวเองเพื่อผลประโยชน์ของผู้อื่นโดยเด็ดขาด..."
ม่อจื้อกล่าวว่า...
"ความคิดแบบนี้ของท่าน... ท่านเตรียมจะเก็บมันไว้ในใจคนเดียว... หรือคิดจะเผยแพร่ไปสู่ผู้อื่น...?"
อู๋หม่าจือตอบว่า...
"ทำไมข้าพเจ้าจะต้องอำพรางซ่อนแร้นความคิดอ่านของตนเอง.. ข้าพเจ้าจะเผยแพร่ให้สาธารณชนรับทราบ..."
ม่อจื้อกล่าวว่า...
"ถ้าเช่นนั้น... สมมติว่า มีคนๆ หนึ่ง...เกิดเชื่อถือหลักเหตุผลของท่าน... คนๆ นั้นก็จะฆ่าท่านเพื่อผลประโยชน์ของตัวเขาเอง...
และถ้าเกิดมีคนสักสิบคน...เชื่อถือหลักเหตุผลของท่าน... คนทั้งสิบนี้ก็จะฆ่าท่าน...
และถ้าคนทั้งโลก...ต่างเชื่อถือหลักเหตุผลของท่าน... คนทั้งโลกก็จะฆ่าท่านเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง ถูกไหม...?"
"ในด้านตรงกันข้าม... ถ้าหากมีคนๆ หนึ่งไม่สนับสนุนทฤษฎีของท่าน... คนๆ นั้นก็จะฆ่าท่าน... เพราะเห็นว่าท่านใช้คำพูดที่ไม่เป็นสิริมงคลนี้...มอมเมาชาวบ้าน...
ถ้าหากมีคนสักสิบคน... ไม่เชื่อทฤษฎีของท่าน คนทั้งสิบนี้ก็จะฆ่าท่าน... ถ้าหากคนทั้งโลกต่างไม่เชื่อทฤษฎีของท่าน... ทุกคนพากันเห็นว่า...คำพูดของท่านเป็นคำพูดอัปมงคล...ฝูงชนที่บ้าคลั่งก็จะรุมกันฆ่าท่าน..."
"คนที่เชื่อท่าน ก็คิดจะฆ่าท่าน... คนที่ไม่เชื่อท่าน ก็คิดจะฆ่าท่านเช่นกัน... ถ้าหากท่านป่าวประกาศทัศนคติของท่านออกไป ก็เท่ากับเป็นการหาภัยมาสู่ตัว..."
"ท่านพูดออกไปแล้ว...มีประโยชน์อะไรหรือเปล่า... ถ้าหากไม่มีแต่ยังดันทุรังจะพูด... มิเท่ากับเมื่อยปากเปล่าๆ ดอกหรือ..."
อุปสรรคที่ขัดขวางความรักอันยิ่งใหญ่
ม่อจื้อกล่าวกับท่านอ๋องหลู่หยางเหวินว่า...
"เวลานี้... ที่นี่มีคนๆ หนึ่ง... เขามีอาหารอุดมสมบูรณ์ทั้งหมูเห็ดเป็ดไก่ เหล้ายา ปลาปิ้ง...มีมากมายเป็นภูเขาเลากา... พ่อครัวของเขาได้ปรุงอาหารเลิศรสให้เขาทานทุกวัน... เขากินทิ้งกินขว้าง...
แต่ครั้นเห็นขนมปังแข็งๆ ของชาวบ้านเข้า... ก็กลับจ้องมองด้วยความสนใจ... ขโมยขนมปังแข็งๆ นั้นมากินเสีย...
ไม่ทราบว่าเป็นเพราะอาหารดีๆ ของคนๆ นั้น... มีน้อยเกินไป...หรือเป็นเพราะเขามีนิสัยขี้ขโมยกันแน่ ?..."
ท่านอ๋องตอบว่า...
"เขาคงจะมีนิสัยขี้ขโมยมากกว่า..."
ม่อจื้อกล่าวต่อไปว่า...
"ถ้าเช่นนั้น... ข้าพเจ้าใคร่ถามท่านว่า... ในประเทศของท่านมีที่นารกร้างอยู่มากมาย... จะบุกเบิกอย่างไรก็ไม่หวาดไม่ไหว... แล้วยังมีเมืองร้างอีกหลายเมือง... จะอยู่อย่างไรก็อยู่ไม่หมด... แต่ครั้นเห็นที่ดินของแคว้นซ่งกับแคว้นเจิ้งเข้า... ท่านก็คิดจะครอบครองท่าเดียว... พฤติกรรมของท่านแตกต่างจากคนๆ นั้นหรือไม่ ?..."
ท่านอ๋องหลู่ตอบว่า...
"ข้าพเจ้าเหมือนคนๆ นั้นไม่มีผิด... ต่างมีนิสัยขี้ขโมย เหมือนๆ กัน..."
ซิ่วซุนเซ่า...กับเมิ่งป๋อฉ่าง... ต่างเป็นมหาอำมาตย์บริหารการปกครองในแคว้นหลู่ด้วยกัน... คนทั้งสองต่างระแวงแคลงใจซึ่งกันและกัน... ไม่ยอมเชื่อใจกัน... ดังนั้น จึงเดินทางมาอธิษฐานกับพระเจ้าในศาลเจ้า...
"พระผู้เป็นเจ้า... โปรดดลบันดาลให้เราคืนดีกันด้วยเถิด"...
ม่อจื้อทราบเข้า ก็วิจารณ์...
"การกระทำเช่นนี้... ช่างโง่เง่าเสียเหลือเกิน... ไปศาลเจ้าอธิษฐาน...พระผู้เป็นเจ้า โปรดดลบันดาลให้เราคืนดีกันด้วยเถิด...ไร้สาระสิ้นดี..."
กงเมิ่งจื่อกล่าวกับม่อจื้อว่า...
"ถ้าหากกำลังทำความดีจริงๆ... ใครเล่าจะไม่รู้ ?... ทำไมต้องโฆษณาตัวเองด้วย... เหมือนกับผู้วิเศษที่มีเวทย์มนต์ขลังมากๆ... แม้จะธุดงค์อยู่ในป่าลึก... ผู้คนก็ยังแห่กันไปหา... เอาข้าวของปัจจัยไปถวาย... เรียกว่ามีวัตถุปัจจัยเหลือกินเหลือใช้ทีเดียวแหละ...
หรือจะเปรียบกับสาวงามชาวป่าก็ได้... แม้เธอจะอาศัยอยู่ในป่าในดอย... ไม่เคยออกสังคม ...ต่ก็มีชายหนุ่มจำนวนมากมาขอแต่งงานกับเธอ... ถ้าหากผู้หญิงคนนี้เที่ยวโฆษณาหาคู่ไปทั่ว... พวกผู้ชายกลับไม่อยากได้เธอเสียอีก...
เวลานี้ท่านเที่ยวโฆษณาทฤษฎีของตนเอง... มิใช่เป็นการเหนื่อยเปล่าดอกหรือ ?..."
ม่อจื้อตอบว่า...
"โลกในทุกวันนี้สับสนวุ่นวายมาก... จริงอยู่ คนที่อยากได้ผู้หญิงสวยๆ ไปเป็นเมียนั้นมีอยู่มาก... ผู้หญิงสวยๆ ไม่จำเป็นต้องออกไปข้างนอก... ก็มีคนจำนวนมากมาสู่ขอถึงบ้าน... แต่คนที่แสวงหาความดีนั้นมีน้อยเหลือเกิน... ถ้าหากไม่โฆษณาตัวเอง... พยายามอบรมบ่มสอนคน... ผู้คนก็ไม่รู้จักเรา"...
"สมมติว่า...มีหมอดูอยู่ 2 คน... ก็เก่งด้วยกันทั้งคู่นั่นแหละ... แต่คนหนึ่งออกไปข้างนอกเที่ยวดูโชคชะตาราศีให้ชาวบ้าน ...ส่วนอีกคนหนึ่งเฝ่าอยู่แต่ในบ้าน... ข้าพเจ้าขอถามท่านว่า... เซ็งลี้ของใครจะดีกว่ากัน ?..."
กงเมิ่งจื่อตอบว่า...
"เซ็งลี้ของคนที่ออกไปดูหมอข้างนอก...ย่อมดีกว่า !"
ม่อจื๊อ กล่าวว่า...
"ภารกิจการพิทักษ์ความถูกต้องชอบธรรม...ก็เหมือนกับหมอดูสองคนนั้นนั่นแหละ... ต้องออกไปข้างนอก...เที่ยวพูดเที่ยวโน้มน้าวจูงใจคน...จึงจะได้ผลดี... เพราะฉะนั้น... ทำไมข้าพเจ้าจึงจะไม่ออกไปข้างนอกเที่ยวพูด... เที่ยวโฆษณา...ทฤษฎีของข้าพเจ้าต่อชาวบ้านเล่า ?..."
กงเมิ่งจื่อกล่าวว่า...
"ผีสางเทวดา... ไม่มีดอก !"...
และพูดอีกว่า...
"บัณฑิตพึงศึกษาพิธีเซ่นไหว้"...
ม่อจื๊อจึงย้อนว่า...
"ในเมื่อท่านไม่เชื่อว่ามีผีสางเทวดา... แล้วไยต้องศึกษาพิธีเซ่นไหว้เล่า ?... การกระทำเช่นนี้... ไม่ผิดอะไร
กับการรู้ว่าไม่มีแขก... แต่ยังจะศึกษามารยาทในการต้อนรับแขก... ไม่มีปลาให้จับ... แต่ยังจะถักแห ...ท่านว่าน่าขันหรือไม่ ?..."
ไม่มีภูิติผี ไยต้องศึกษาพิธีเซ่นไหว้
ม่อจื๊อถามบัณฑิตหยูคนหนึ่งว่า...
"ท่านเล่นดนตรีทำไม ?"...
บัณฑิตหยูตอบว่า...
"ข้าพเจ้าเล่นดนตรี...เพราะอยากฟังดนตรี"
ม่อจื๊อกล่าวว่า...
"ท่านไม่ได้ตอบคำถามของข้าพเจ้านี่นา !..."
"ถ้าหากข้าพเจ้าถามว่า...ท่านสร้างบ้านทำไม ?..."
"ท่านตอบว่า... หน้าหนาวจะได้หลบลมหนาว... หน้าร้อนจะได้หลบลมร้อน... อีกทั้งเป็นการแบ่งกั้นโลกส่วนตัวออกจากโลก...
ภายนอก... ชาญหญิงจะได้มีเส้นแบ่งที่แตกต่างกัน.."
"อย่างนี้จึงจะเรียกได้ว่า...ท่านได้นำเอาเหตุผลที่ว่าทำไมจึงสร้างบ้านมาตอบแก่ข้าพเจ้า..."
"เวลานี้ข้าพเจ้าถามท่านว่าทำไมจึงเล่นดนตรี..."
"ท่านกลับบอกว่าเพราะอยากฟังดนตรี..."
"การตอบคำถามแบบนี้...ก็เหมือนกับการที่ข้าพเจ้าถามท่านว่า... ทำไมจึงสร้างบ้าน... แต่ท่านกลับตอบว่า... สร้างบ้านเพราะ
อยากได้บ้าน... ซึ่งเท่ากับไม่มีคำตอบใช่หรือไม่ ?..."
เล่นดนตรีเพราะอยากฟังดนตรี
กงเมิ่งจื่อกล่าวว่า...
"ประเพณีที่กำหนดให้ไว้ทุกข์ 3 ปี... กำหนดขึ้นเพื่อให้คนเรารู้จักคิดถึงพ่อแม่เหมือนเด็กทารก..."
ม่อจื๊อกล่าวว่า...
"เด็กทารกไร้เดียงสา... พวกเขาจึงติดพ่อแม่... ยามใดที่ไม่ได้รับความรักความเอาใจใส่จากพ่อแม่... ก็จะร้องไห้จ้า... ทั้งนี้เพราะเหตุอันใดเล่า ?... ก็เพราะว่าทารกนั้นซื่อบริสุทธิ์นั่นเอง..."
"เวลานี้... พวกบัณฑิตหยูกลับกำหนดให้...ไว้ทุกข์ 3 ปี... เพื่อเรียกร้องให้ผู้คนหวนคิดถึงพ่อแม่...เหมือนตอนที่ยังเป็นเด็กทารก... ข้าพเจ้าใคร่ถามว่า... สติปัญญาของบัณฑิตหยู...ดีกว่าเด็กทารกหรือไม่ ?"...
บัณฑิตหยูเก่งกว่าทารกหรือไม่
ม่อจื้อกล่าวว่า...
"สรรพสิ่งในโลกนี้... ไม่มีอะไรสำคัญเกินกว่าคุณธรรม..."
"ถ้าหากมีคนบอกเราว่า...ข้าเอาหมวกและรองเท้าให้เจ้า... แล้วเจ้าก็จงมอบแขนและขาให้ข้า... เอาไหม...?"
"ข้าพเจ้าคิดว่าคงจะไม่มีใครเอา... เพราะอะไร... ก็เพราะว่าหมวกกับรองเท้าไม่สำคัญเท่ากับมือและเท้า..."
"หรือถ้ามีใครพูดว่า... ข้าจะมอบแผ่นดินให้เจ้า... แต่เจ้าต้องมอบชีวิตให้ข้าเจ้า...จะเอาไหม...?"
"ข้าพเจ้าคิดว่า...ก็คงไม่มีใครเอาเหมือนกัน... เพราะอะไรหรือ... ก็เพราะว่าแผ่นดินไม่สำคัญเท่ากับชีวิตของตัวเอง...นะซี..."
"แต่ว่า... มนุษย์กลับยอมตายเพื่อสิ่งหนึ่ง... สิ่งนั้นคือ... คุณธรรม ...เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงกล้าพูดได้เต็มปากว่า... คุณธรรมสำคัญกว่าชีวิต... ในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดล้ำค่าเกินกว่าคุณธรรมอีกแล้ว..."
( แทนที่จะมาไว้ทุกข์ให้พ่อแม่เมื่อตายจาก ... สู้เอาใจใส่ดูแลพ่อแม่ยามที่ท่านยังมีชีวิต... อีกทั้งน้อมนำบุพการีเข้าสู่ธรรมะอันเป็นที่พึ่งแก่ชีวิตทั้งภพนี้แลภพหน้า ไม่ดีกว่าหรือ ...)
ม่อจื้อกล่าวว่า...
"ควรละทิ้งอารมณ์ร้าย 6 ชนิด คือ... รัก... โลภ... โกรธ... หลง... ดีใจ... เสียใจ...
ยามว่าง... ควรใช้ความคิดอย่างลึกซึ้ง ...
ยามพูด... ควรสอนให้ผู้คนรักความถูกต้องชอบธรรม ...
ยามกระทำ... ควรทำงานที่เป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติ ....
ม่อจื้อกล่าวกับลูกศิษย์ว่า...
"ยามใดที่พวกเจ้าไม่อาจพิทักษ์ความเป็นธรรม...ก็ไม่ควรบิดเบือนความเป็นธรรมให้สอดคล้องกับพวกเจ้า...
อย่าทิ้งคุณธรรมเด็ดขาด...
เรื่องนี้ก็คล้ายกับช่างไม้ที่ทำเฟอร์นิเจอร์ไม่สำเร็จ... พวกเขาก็ไม่เคยทิ้งเครื่องไม้เครื่องมือของตน"...
อย่าทิ้งคุณธรรมเป็นอันขาด
ม่อจื้อกล่าวว่า...
"สมมติว่า... เวลานี้มีคนตาบอดคนหนึ่งอยู่ที่นี่... และพูดว่าปูนเป็นสีขาว... ถ่านหินเป็นสีดำ... คนตาดีๆ ก็คงไม่กล้าว่าเขาพูดไม่ถูก"...
"แต่ว่า... ถ้าเอาของสีขาวกับของสีดำมาปนรวมๆ กัน... แล้วเรียกคนตาบอดคนนั้นมาแยกแยะ...ว่าอะไรเป็นสีขาว ?... อะไรเป็นสีดำ ?... คิดว่าเขาคงจะแยกไม่ออกแน่นอน...
เพราะฉะนั้น... คนตาบอดจึงเป็นคนที่ไม่รู้อะไรขาว !... อะไรดำ !...
ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่า... คนตาบอดไม่รู้จักสรรพนามของสีต่างๆ... แต่หมายความว่า...พวกเขาไม่มีปัญญาแยกแยะสีต่างๆ ได้จริงๆ...
"บัณฑิตในยุคปัจจุบันนี้ก็เช่นกัน... พูดเก่ง... พูดดี... โดยเฉพาะในเรื่องของคุณธรรม... แม้แต่พระเจ้าอวี่มหาราช... พระเจ้าซังทังมหาราช... ก็ยังสู้ไม่ได้ !...
แต่ถ้าเอาเรื่องที่ดูคล้ายกับถูกต้องชอบธรรม...กับเรื่องที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม...มาปนเปกัน ...แล้วให้บัณฑิตในยุคนี้ตัดสินแยกแยะ... พวกเขาจะจนปัญญา... แยกแยะไม่ถูกทันที !"...
"เพราะฉะนั้น... ข้าพเจ้าจึงกล้าพูดว่า... บัณฑิตในยุคนี้ไม่รู้ดอกว่าอะไรคือคุณธรรม... ซึ่งไม่ได้หมายความว่าพวกเขาพูดเรื่องคุณธรรมไม่เป็น... แต่หมายความว่าในความเป็นจริงนั้น... พวกเขาไม่ได้ทำต่างหาก !!!"...
"รู้" กับ "ทำ" ต้องเป็นเอกภาพกัน
ม่อจื้อกล่าวว่า...
"บัณฑิตสมัยนี้... ต่างนึกอยากจะประสบความสำเร็จในด้านคุณธรรม... แต่ถ้าบังเอิญถูกคนรอบกายวิพากษ์วิจารณ์ด้วยความปรารถนาดี... อยากเห็นเขาแก้ไขปรับปรุงความประพฤติให้ดีขึ้น... เขากลับโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ...
คนแบบนี้... ก็เหมือนกับคนที่อยากสร้างบ้านของตัวเองให้สำเร็จ... แต่เมื่อชาวบ้านมาช่วยเขาสร้างบ้าน... เขากลับไม่พอใจ... ช่างไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย !!!"...
อยากเป็นคนดี แต่กลัวถูกวิจารณ์
ม่อจื้อกล่าวกงเหลียงหวนจือว่า...
กงเหลียงหวนจือว่า... "แคว้นเว่ย...เป็นแคว้นเล็กแคว้นหนึ่ง... อีกทั้งตั้งอยู่กึ่งกลางระหว่างแคว้นใหญ่สองแคว้น... จะเปรียบไปก็เหมือนกับคนจนๆ คนหนึ่ง...ที่อาศัยอยู่ท่ามกลางหมู่คนรวย...
คนจนถ้าขืนไปเอาอย่างคนรวย... พิถีพิถันในเรื่องการกินการอยู่... แต่งตัวสวยๆ... กินทิ้งกินขว้าง... มีหวังล้มละลายทันที !..."
"เวลานี้... ในพระราชวังของพระองค์ มีรถหรูๆ นับร้อยคัน... ม้าที่กินถั่วกินข้าวอย่างดีก็มีอีกหลายร้อยตัว... นางในที่แต่งตัวด้วยผ้าด่วนแพรพรรณชั้นดี...มีอยู่อีกนับร้อยนาง... ถ้าหากรู้จักประหยัดเงินประหยัดทองที่ใช้ไปกับการเล่นรถ... เลี้ยงม้า... บำรุงบำเรออิสตรี... แล้วนำเงินก้อนนั้นมาเลี้ยงนักรบละก้อ... พระองค์จะมีนักรบเก่งๆ ดีๆ... ไม่ต่ำกว่าพันคนขึ้นไป..."
"หากทำได้เช่นนี้... ยามประเทศประสบวิกฤต... หรือตกอยู่ในภาวะคับขัน... พระองค์ก็ไม่ต้องปวดขมองกับปัญหาขาดแคลนนักรบ... พระองค์สามารถบัญชานักรบสักสี่-ห้าร้อยคน...ไปป้องกันแนวหน้า... สั่งนักรบอีกสอง-สามร้อยคน... ไประวังแนวหลัง... นักรบเหล่านี้... เมื่อเทียบกับนางสนมหลายร้อยคน... ที่ประดับอยู่ทั้งหน้าวังและท้ายวังแล้ว... พระองค์คิดว่าอันไหนปลอดภัยกว่ากัน ...
สำหรับกระหม่อมแล้ว...เห็นว่าการเลี้ยงนักรบ...ย่อมปลอดภัยกว่าการเลี้ยงผู้หญิง...!!!"
เลี้ยงนักรบดีกว่าเลี้ยงผู้หญิง
เย่กงจื่อเกา... มหาอำมาตย์แห่งแคว้นฉู่ถามขงจื้อถึงนโยบายทางการเมืองว่า...
"นักการปกครองที่สามารถ ควรจะมีนโยบายทางการเมืองเช่นไร ?..."
ขงจื๊อตอบว่า...
"นักการปกครองที่สามารถ... จะต้องทำให้ผู้ที่ห่างไกลเข้ามาชิดใกล้ ขึ้นต่อ ทำให้ลูกน้องเก่าปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตนเองเสียใหม่..."
หลังจากได้ยินคำสนทนาเหล่านี้แล้ว ม่อจื้อก็วิจารณ์ว่า...
"เย่กงจื่อเกาตั้งคำถามไม่เหมาะสม... ขงจื้อก็ตอบไม่ถูก...
ทำไมเย่กงจื้อเกาจะไม่ทราบเล่าว่า...ผู้ที่สันทัดในการปกครองจะต้องทำให้ผู้ที่ห่างไกลหันกลับมาชิดใกล้ ขึ้นต่อ... และทำให้ลูกน้องเก่าๆ...ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตนเองเสียใหม่... ในเมื่อรู้แล้ว... ยังจะถามขงจื้อทำไมอีกเล่า...
ส่วนขงจื้อเล่า... ก็ไม่นำความรู้ ที่คนอื่นยังไม่รู้ไปบอกให้เขารู้... แต่ดันตอบในสิ่งที่คนอื่นเขารู้อยู่แล้ว... แล้วมันมีประโยชน์อันใดเล่า...
เพราะฉะนั้น... ข้าพเจ้าจึงเห็นว่าเย่กงจื่อเกาตั้งคำถามได้ไม่เหมาะสม ส่วนขงจื้อก็ตอบไม่ถูก..."
อู๋หม่าจือกล่าวกับม่อจื๊อว่า...
"ท่านพิทักษ์ความถูกต้องชอบธรรม...ก็ไม่เห็นว่าคนอื่นเขาจะเคารพนับถืออะไรท่าน... ผีสาง...เทวดา...ก็ไม่เห็นดลบันดาลความสุขความเจริญอะไรให้ท่าน... แต่ท่านก็ยังจะทำอีก... ช่างเป็นโรคบ้าแท้ๆ..."
ม่อจื๊อกล่าวว่า...
"สมมติว่า...ท่านมีคนรับใช้อยู่สองคน... คนหนึ่งเห็นท่านจึงจะทำงาน... ไม่เห็นท่านก็ไม่ทำงาน... ส่วนอีกคนหนึ่ง ...เห็นท่านเข้าก็ทำงาน... ไม่เห็นท่านเขาก็ยังทำงาน... คนรับใช้สองคนนี้ ท่านชอบคนไหน?"...
อู๋หม่าจือตอบว่า...
"ข้าพเจ้าย่อมชอบคนที่เห็นข้าพเจ้าก็ทำงาน...ไม่เห็นข้าพเจ้าเขาก็ยังทำงาน..."
ม่อจื๊อกล่าวว่า...
"ถ้าเช่นนั้น... ท่านก็ชอบคนบ้าเหมือนกันนะซี !..."
อู๋หม่าจือถามม่อจื๊อว่า...
"แม้ว่าท่านจะรักบ้านเมืองหนักหนา... แต่บ้านเมืองก็ไม่เห็นได้ประโยชน์จากท่าน... แม้ว่าข้าพเจ้าจะไม่รักบ้านเมือง... แต่บ้านเมืองก็ไม่เคยได้รับผลร้ายอะไรจากข้าพเจ้า... ต่างไม่มีผลเหมือนกัน... แล้วทำไมท่านจะต้องนึกอยู่เรื่อยว่า... ความคิดของท่านเป็นความคิดที่ถูกต้อง... ความคิดของข้าพเจ้าเป็นความคิดที่ผิด?"...
ม่อจื๊อตอบว่า...
"สมมติว่าเวลานี้... มีคน ๆ หนึ่งมาวางเพลิงที่นี่... แล้วก็มีคนอีกคนหนึ่ง...รีบหิ้วน้ำเตรียมจะมาช่วยดับไฟ... ขณะเดียวกันก็มีคนอีกคนหนึ่ง...ถือเชื้อเพลิงเตรียมจะมาโหมไฟให้แรงขึ้น... การตั้งท่าของคนสองคนนี้ต่างไม่มีผลอะไรต่อเพลิงที่กำลังลุกไหม้... แต่ในความรู้สึกของท่าน... ท่านคิดว่าคนสองคนนี้... ใครดีกว่ากัน?"...
อู๋หม่าจือตอบว่า...
"ข้าพเจ้าคิดว่าคนที่หิ้วน้ำเตรียมจะช่วยดับไฟนั้น...มีเจตนาที่ถูกต้อง... ส่วนคนที่ถือเชื้อเพลิง...เตรียมกระพือไฟให้ลุกแรงนั้น...มีเจตนาที่ไม่ถูกต้อง"...
ม่อจื๊อตอบว่า...
"เหตุผลเดียวกัน... ข้าพเจ้าก็รู้สึกว่า...เจตนาของข้าพเจ้านั้นถูกต้อง... และเห็นว่าเจตนาของท่านนั้นไม่ถูกต้อง"...
ม่อจื้อแนะนำศิษย์คนหนึ่งไปเป็นขุนนางที่แคว้นเว่ย ...ไม่นานนัก ศิษย์คนนั้นก็กลับมาเยี่ยมอาจารย์...
ม่อจื้อถามเขาว่า...
"เจ้ากลับมาทำไมอีก ?..."
ศิษย์ตอบว่า...
"ท่านอ๋องไม่รักษาสัจจะ... ทีแรกพระองค์บอกว่า... จะให้ข้าวสารแก่ศิษย์ปีละหนึ่งพันถัง... แต่ครั้นเอาเข้าจริงๆ ...กลับให้แค่ห้าร้อยถังเท่านั้น... ศิษย์จึงกลับมา !..."
ม่อจื้อกล่าวว่า...
"ถ้าหากท่านอ๋องประทานข้าวสารให้เจ้าปีละหนึ่งพันถังจริงๆ... เจ้าจะผละจากแคว้นเว่ยอีกหรือไม่ ?..."
ลูกศิษย์ตอบว่า...
"ศิษย์คงไม่ไปไหนอีกแล้ว !..."
ม่อจื้อกล่าวว่า....
"ถ้าเช่นนั้น... เจ้าก็มิได้ผละจากแคว้นเว่ย...เพราะท่านอ๋องไร้สัจจะนะซี... แต่ผละจากแคว้นเว่ยเพราะเห็นว่าได้ลาภ ยศ สรรเสริญน้อยเกินไป..."
ศิษย์ที่เห็นแก่ลาภ ยศ สรรเสริญ
ม่อจื้อถามเขาว่า...
"พวกพ่อค้าเดินทางไปค้าขายทั่วทั้งสี่ทิศ... ขอเพียงมีกำไรสักร้อยเท่า... แม้จะต้องข้ามน้ำข้ามภูเขา... เสี่ยงภัยจากโจรผู้ร้าย... ลำบากแทบเลือดตากระเด็น... พวกเขาก็ยอม !...
คนมีความรู้ในสมัยนี้... แค่นั่งเฉยๆ คุยเรื่องคุณธรรม... ไม่ต้องลำบากลำบน ถ่อสังขารข้ามน้ำข้ามภูเขาไปไหน... ไม่ต้องเสี่ยงภัยจากโจรผู้ร้าย... ก็ได้กำไรตั้งหลายร้อยเท่าแล้ว... แต่...พวกเขากลับไม่อยากทำ !...
จะเห็นได้ชัดว่า...ในเรื่องการคำนวณผลได้ผลเสียนั้น... พวกมีวิชาความรู้ละเอียดละออ...สู้พวกพ่อค้าไม่ได้...!!!"
งานที่ได้กำไรหลายร้อยเท่าตัว
อำมาตย์คนโปรดของท่านหลู่อ๋องเสียชีวิตไป... ชาวหลู่คนหนึ่งได้เขียนบทสดุดีอำมาตย์ผู้นี้... หลู่อ๋องอ่านแล้วรู้สึกพอพระทัยมาก... จึงแต่งตั้งให้ชายคนนั้นเป็นขุนนาง...
ม่อจื้อทราบเรื่องเข้า จึงวิพากษ์วิจารณ์ว่า...
"บทสดุดีเป็นบทความยกย่องสรรเสริญคุณงามความดีของผู้ตาย... แต่ท่านอ๋องกลับชอบอกชอบใจบทสดุดีบทนี้...และแต่งตั้งให้ผู้แต่งบทสดุดีเป็นขุนนาง... เป็นการแต่งตั้งที่ไม่ตรงกับความสามารถ เหมือนกับเอาม้าไปไถนา อย่างไรอย่างนั้น... ช่างไม่เหมาะสมเอาเสียเลย...!!!"