จิตเดิมแท้ของเรานั้นทุกคนนั้นมาจากธรรมชาติอันบริสุทธิ์
กฎแห่งกรรม เป็นสัจธรรมที่สามารถพิสูจน์ได้ด้วยหลักวิทยาศาสาตร์... ใครก่อเหตุอย่างไร... ต้องได้รับผลอย่างนั้น... เหมือนปลูกทุเรียนย่อมได้ผลทุเรียน...
แต่มนุษย์มีความหลง... เพราะมองไม่เห็น "ผล" ในขณะที่ก่อ "เหตุ" พอได้รับผลแห่งความทุกข์... จึงไม่ยอมเชื่อกฎแห่งกรรมหรือเชื่ออย่างผิดๆ ... เพราะไม่กระจ่างชัดในสัจธรรมนี้...
พระพุทธองค์จึงตรัวว่า...
"กรรมเป็นแรงอันมหาศาลที่ทำให้มนุษย์เวียนว่ายตายเกิดไม่สิ้นสุด !"...
คนที่เชื่อกฎแห่งกรรมอย่างผิดๆ... ก็ปล่อยให้ชีวิตเป็นไปตาม "กรรมเก่า" หรือ โชคชะตากำหนด... หรือแม้แต่อำนาจแห่งเทพฤทธิ์ทั้งหลายดลบันดาลให้เป็นไป...
ครั้นได้รับผลร้ายแห่งการกระทำของตนเอง...จึงร้อนรนวิ่งหาทางแก้ไม่ตรงต่อเหตุ... ปล่อยให้ชีวิตอยู่ในมือของเทพเจ้าดวงดาวหรือโหราจารย์ ... ชีวิตมนุษย์จึงวนเวียนอยู่ในทะเลทุกข์...
คนไม่เชื่อในกฎแห่งกรรม... เพราะมองเห็นแต่ "ผล"... ไม่เห็น "เหตุ" ในอดีต... เพราะฉะนั้น จึงหลงเข้าใจผิดว่า "ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป"
คนเหล่านี้ประกอบแต่กรรม... ทำให้ตนเองได้รับความสุขโดยไม่ได้คิดถึงผลที่ติดตามมาในอนาคต ... แม้ว่าการกระทำนั้นเป็นการเบียดเบียนผู้อื่นก็ตามที...
คนที่เชื่ออย่างผิดๆ และคนที่ไม่เชื่อกฎแห่งกรรม จึงต้องตกอยู่ในวัฏสงสาร
พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนให้เชื่อเรื่อง... "กรรม" แต่มิให้สยบต่อ "กรรม" ที่เชื่อนั้น เป็นการกระทำของตนเอง... คนจึงไม่ควรเชื่อถือในโชคลาง ...หรือยอมให้ชีวิตตกอยู่ภายใต้ลิขิตของดวงดาว หรือเทพฤทธิ์องค์ใดเลย...
แต่ชะตาชีวิตนั้นอยู่ในกำมือของทุกคน... ที่สามารถกำหนดไ้ด้ด้วยตนเอง...
"ความไม่รู้" ได้สร้าง "กรรมเก่า" เอาไว้มากมาย...
แต่ความ "รู้แจ้ง" จะยอมชดใช้หนี้กรรมทั้งปวงโดยดุษฎี... ไม่โทษดิน... โทษฟ้า... สิ่งศักดิ์สิทธิ์...
และสามารถกำหนด... "กรรมใหม่"... ให้ชีวิตนั้นพ้นจากทะเลทุกข์ด้วยตนเองโดยไม่สร้างบาปหนี้เวรอีกต่อไป...
กรรมที่เกิดจาก "ความไม่รู้" จึงกำหนดชีวิตให้หลงเวียนในอบายภูมิ...
กรรมที่เกิดจาก "ความรู้แจ้ง" จึงกำหนดชีวิตให้ถึงฝั่งพระนิพพาน...