ความกตัญญูเป็นพื้นฐานของมนุษย์ ไม่ว่าคัมภีร์ใดจะมากมายก็มิสามารถจะจารึกความลึกซึ้งของมันได้หมด ...
มันเป็นพื้นฐานเป็นรากอยู่ในจิตใจของมนุษย์ ต้องอาศัยการปฏิบัติ มิใช่เพียงการสำนึกเท่านั้น ...
ความกตัญญูมิใช่ร้องไห้ต่อพ่อแม่แล้วสำนึกว่าผิดไปแล้วแค่นั้น ความกตัญญูมิใช่ให้พ่อแม่ได้กินอิ่มหนำ 3 มื้อเท่านั้น ...
ความกตัญญูมิใช่ให้แค่ความสบายอกสบายใจแก่พ่อแม่เท่านั้น หรือความกตัญญูมิใช่ต่างๆ นานามากมายที่จารึกไว้ในคัมภีร์เท่านั้น ...
แต่ความกตัญญูสามารถปรากฏได้ในจิตใจของเราเอง... ในการกระทำของเรา ...
ลองพิจารณาตัวเองซิ... วันนี้ทำให้พ่อแม่ต้องเจ็บปวดรวดร้าวใจบ้างหรือไม่ ... วันนี้ต้องทำให้พ่อแม่เป็นกังวลต่อเราหรือไม่ ... วันนี้เคยทำให้พ่อแม่ได้ยิ้มแย้มแจ่มใสออกมาได้แล้วหรือยัง... แล้วรู้หรือไม่ว่าความกตัญญูต้องเริ่มจากจุดไหน...
ลองรำลึกย้อนถึงใบหน้าที่มีแต่ความเมตตาในจิตใจของผู้เป็นพ่อและแม่ ... นึกถึงร่างกายของท่านที่เคยหนุ่มแน่นกำยำ และค่อยๆ แก่ชราลงด้วยการทำงานหนัก ใช้แรงงานแลกเงิน จับจ่ายใช้สอยในครอบครัวโดยไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย ...
นึกถึงคำพูดกล่าวสอนคำแล้วคำเล่าที่เตือนเราอย่างที่หาคณานับไม่ได้ ...
กี่ครั้งที่ท่านต้องโมโหเพราะเรา ...
กี่ครั้งที่ท่านต้องหลั่งน้ำตา ...
ความปวดร้าวในอกของผู้เป็นพ่อเป็นแม่มิเคยถ่ายทอดให้ลูกได้รับรู้ ...
สีหน้าที่แสดงออกทุกวันเพื่อให้ลูกแจ่มใส เติบโตขึ้นมาเป็นคนดีมีมโนธรรมสำนึก มีจิตใจที่ระลึกถึงคุณคน ...
ถึงแม้จะไม่ได้รับการตอบแทนจากลูก แม่ก็ยังคงมีจิตใจอย่างเช่นนั้นเรื่อยไป กาลเวลาทำให้ท่านแก่ชราลง ...
เราเคยนึกรังเกียจในความแก่ชราของพ่อแม่เราหรือไม่ ? ...
ในจิตใจส่วนลึกเคยนึกละอายใจที่มีพ่อแม่หน้าตาไม่สะสวยหรือไม่ ...
ในจิตใจของเราเคยรังเกียจดูแคลนว่าท่านเป็นผู้ที่ยากจน เป็นผู้ที่ไม่มีประโยชน์แล้วหรือสำหรับเรา ในจิตใจส่วนลึกนั้นหากมีให้ถอนรากถอนโคน เอาความนึกคิดเหล่านั้นออกไปเสีย ปฏิบัติตนปฏิบัติตัวเป็นคนใหม่ ใส่รากธรรมแห่งความกตัญญูลงไปให้เต็มที่ ปฏิบัติจิตใจแห่งความกตัญญูต่อคุณพ่อคุณแม่จนสุดความสามารถในขณะที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ...
อย่ารอที่จะโอบกอดพ่อแม่ในขณะที่ท่านเสียชีวิตไปเสียแล้ว แล้วสำนึกว่าไม่ได้ดูแลไม่ได้เอาใจใส่ เมื่อนั้นก็สายเกินไป....