4. ปัญญาธรรม
ปัญญาธรรม
ความหมายของคำว่า ปัญญาธรรม = ความรู้ทั่วไป .
ปรีชา หยั่งรู้เหตุผล ความรู้เข้าใจชัดเจน ความรู้เข้าใจ
หยั่งแยกในเหตุผล ดีชั่ว คุณโทษ ประโยชน์ มิใช่
ประโยชน์ เป็นต้น และรู้ที่จะจัดแจง จัดสรร จัดการ
ความรอบรู้ในกองสังขารมองตามความเป็นจริง
มนุษย์ทุกคนเกิดมาพร้อมด้วยปัญญาที่เลิศล้ำอยู่แล้ว ไม่มี
ใครโง่ ฉลาดกว่าใคร ดังคำพระวัจนะที่ว่า ธรรมญาณเท่ากัน
ไม่มีใครมากน้อย น้อยกว่าใคร ฉะนั้นย่อมไม่มีใครปัญญา
มากกว่าใคร ดังที่พระสังฆปรินายกที่หกว่า “โพธิปัญญา”
นั้น ทุก ๆ คนมีเหมือนกัน ความหลงต่างหากที่ทำให้แตกต่าง
กันและไม่รู้ จึงจำต้องสร้างเสริมความดีให้มาก จึงจะเกิด
ปัญญา พึงรู้ไว้ว่า คนโง่ คนฉลาด นั้นมีพุทธญาณไม่ต่าง
กันเลย ต่างกันที่หลงและตื่นเท่านั้น ที่ทำให้เกิดโง่
ฉลาด อานุภาพแห่งปัญญาจึงแตกต่างกันไป ถ้าเปรียบไป
แล้วเหมือนกับ น้ำ บางคนใช้ประโยชน์ได้มากกว่า แต่บาง
คนกลับใช้ได้น้อย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการฝึกฝนและมีความรู้เกี่ยว
กับน้ำ
ปัญญาก็เช่นกัน บริสุทธิ์ปราศจากอารมณ์ทั้งปวง มิได้
ทำให้ธรรมญาณหันเหไปสู่หกทางแห่ง ดี หรือ ชั่ว มี
สภาวะแห่งความเป็นกลาง จึงทรงอานุภาพ สามารถตัดทุกข์
ทั้งปวงได้ ด้วยเหตุนี้ พระพุทธองค์จึงทรงให้สมาทานศีล
ข้อห้า มิให้จิตมัวเมาตกอยู่ภายใต้อำนาจของน้ำเมาทั้ง
ปวง คนที่ถูกอำนาจน้ำเมา ยาเสพติดครอบงำย่อมขาดสติ
สัมปชัญญะ ทำให้คิดผิด ทำผิดและหลงผิดได้โดยง่าย
มนุษย์นั้นถูกอารมณ์ฉันทะบดบัง ทำให้มืด หลง
อารมณ์ จึงเป็นทะเลทุกข์ของคนทุกชั้นวรรณะ ความรู้
และ ปัญญา จึงแบ่งแยกได้ตรงนี้ มนุษย์ที่มีความต่างในบุญ
วาสนา บ้างเกิดมาดี บ้างเกิดมาลำบากยากเข็ญ แต่เมื่อมี
อารมณ์เข้าครอบงำก็สามารถกระทำผิดได้ทันทีเท่าเทียมปัน
ท่านศาสดาเหลาจื้อ จึงสอนให้บำเพ็ญ ธาตุน้ำ
ธาตุน้ำมีแต่ความเยือกเย็นสงบ ไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำ ชะ
ล้างทุกสิ่งทุกอย่างโดยไม่ถือตัว และเข้าสู่ภาชนะใด ก็จะอยู่
ในรูปลักษณ์ของภาชนะนั้น ๆ
ธาตุน้ำอวัยวะภายในของคนอยู่ที่ตำแหน่ง ไต มี
หน้าที่ขับของเสียในเลือด พืชที่เป็นอันตรายต่อไตเมื่อบริโภค
มาก คือ หัวหอม ส่วนสีของพืชที่เป็นคุณกับ ไต คือสีดำ
เช่น ถั่วดำ เป็นต้น รสชาติที่เป็นอันตรายต่อไต คือ รสเค็ม
ท่านขงจื้อ ให้บำเพ็ญ ปัญญาธรรม กล่าวว่า
“รักเรียนจึงได้ปัญญา”
อักษรจีนคำว่าปัญญา 智 อ่านว่า จื้อ ประกอบ
ด้วยอักษณสามตัวคือ
天 เทียน หมายถึง ฟ้า หรือสวรรค์
口 โข่ว หมายถึง ปาก
日 ยื่อ หมายถึง ดวงอาทิตย์หรือแสง
สว่าง
ถ้านำอักษรทั้งสามมาแปลรวมกันความหมายแห่งปัญญา
ปัญญาเปรียบประดุจแสงสว่าง ส่องให้พ้นจากความมืด
( คือความหลง) มีอานุภาพดุจดังฟ้า คือมีอานุภาพ
มาก สามารถพาตัวไปถึงสวรรค์ได้ การแสดงปัญญาทาง
หนึ่งเป็นการใช้วาจา (ปาก) นั่นเอง
การบำเพ็ญปัญญา คือ การรู้จักควบคุมอารมณ์รู้จัก
แยกแยะเหตุผล จึงมีสติ คำโบราณกล่าวไว้ว่า “คนที่เร่ง
รีบขาดสติ น้ำที่ไหลเชี่ยวย่อมไม่มีปลา” หรือ “เมื่อเรียนต้อง
เงียบ เมื่ออยากได้วิชาจำต้องเรียน ไม่เรียนย่อมไม่ได้วิชา
ไม่เงียบย่อมไม่รู้เรื่อง” ดังนั้น ความเงียบก่อเกิดปัญญา ใช้
วาจาในที่ควร
เมื่อคนเราเกิดมาจากท้องแม่ ไร้เดียงสาบริสุทธิ์ เราไม่
รู้อะไรเลย ต่อมาเมื่อผ่านการอบรมสั่งสอน จึงมีความรู้ขึ้น
และความรู้ที่ว่านี้เป็นความรู้ที่เกิดมาหลังกำเนิด ต้องผ่านการ
ฝึกฝน ปฏิบัติ จึง รู้และเข้าใจ ปัญญาก็ก่อเกิด มีสติ รู้เหตุรู้
ผลรู้ดีรู้ชั่ว ไม่ตกเป็นทาสของอารมณ์ รู้ระงับอารมณ์ฉันทะ
ต่าง ๆ ได้ ผู้ที่ปล่อยจิตปล่อยใจให้อารมณ์ครอบงำจนสูญสิ้น
ปัญญาอยู่บ่อย ๆ ย่อมสร้างภพชาติของสัตว์เดรัจฉานให้ตน
เอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งติดอายตนะรูป ธรรมญาณออกทาง
ตา ย่อมไปเกิดเป็นสัตว์ปีก คือ นก ซึ่งมีปัญญารู้จักสร้าง
รังของตนเองอย่างสวยงาม แต่ถ้าเคยชินด้วยยาเสพติด
เพราะติดกลิ่น ธรรมญาณออกทางจมูก และไปเกิดเป็นมด
ปลวก แมงมุม สัตว์เหล่านี้ มีปัญญาในการรู้จักสะสมอาหาร
ดักจับสัตว์อื่น
การบำเพ็ญทางปัญญาธรรม ให้ กาย และ จิต อยู่ใน
ทางสายกลางเป็นการปฏิบัติตรงสัจธรรมแห่งฟ้าดิน ให้มี
ปัญญาทั้งทางโลก และทางธรรม ทางโลก ก็สามารถมีความ
สุขได้ในทุกสภาวะ ทางธรรมก็สามารถพาตนเองพ้นจากทะเล
ทุกข์แห่งวัฏสงสาร ความรู้ที่กว้างขวาง ย่อมมาจากการเรียน
รู้ ปฏิบัติ ฝึกฝน และเข้าใจ และมีความขยันหมั่นเพียร
ไม่ว่าจะเกิดมาโง่ หรือ ฉลาด ขอเพียงมีความอดทนหมั่น
เพียร ที่สุดย่อมถึงจุดหมายปลายทางเหมือนกัน
ห้ามดื่มสุรา สามารถอนุรักษ์ปัญญา
คงธาตุน้ำที่ใสสะอาด ใช้เหตุและผล ดังน้ำที่ไหลซอกไปทั่ว