ศีลเป็นอาภรณ์อันประเสริฐ
เตสํ สมฺปนฺนสีสานํ  
สมฺมทญฺญา วิมุตฺตานํ  
  อปฺปมาทวิหารฺนํ
  มาโร มคฺคํ น วินฺทติ
มารค้นหาอยู่ ย่อมไม่พบทางของท่านผู้มีศีลสมบูรณ์
อยู่ด้วยความไม่ประมาท หลุดพ้น เพราะรู้ชอบ
จาก . . . ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท
ศีลเป็นอาภรณ์อันประเสริฐ
( สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ )
ประณีต  ก้องสมุทร

    ในฤดูที่ดอกไม้บาน  เป็นฤดูที่ยังความรื่นรมย์ให้แก่มนุษย์และสัตว์  ดอกไม้หลากชนิด  หลายสี 
บานสะพรั่ง  อวดสี และกลิ่นอยู่บนต้น  บางอย่างหอมมาก  บางอย่างหอมน้อย  บางอย่างไม่หอมเลย  บาง
อย่างสวยทั้งสี  และกลิ่น  บางอย่างสีสวยแต่ไม่มีกลิ่น  บางอย่างไม่สวยทั้งสี  และกลิ่น  บางอย่างหอมชั่ว
เวลาเช้า  บางอย่างหอมตอนสาย  บางอย่างหอมเวลาบ่าย  บางอย่างหอมเวลาเย็น  บางอย่างหอมเฉพาะ
กลางคืน  บางอย่างหอมทั้งวันทั้งคืน  แต่บางอย่างก็หอมทนอยู่ได้หลายวัน  ถึงกระนั้นเมื่อเหี่ยวแห้งร่วงโรย
แล้วก็หมดหอม  ไม่มีดอกไม้ชนิดใดเลยที่จะหอมอยู่เป็นนิจทั้งในเวลาบาน และโรยหล่น แม้เมื่อเวลาบาน
อยู่  ถูกลมพัดร่วงพรูจากต้น  ลงประดับพื้นดินจะยังมองดูงามแปลกตา  และกลิ่นของมันยังหอมกรุ่น  เป็น
ที่ชื่นชอบของผู้พบเห็น  แต่เมื่อมันเหี่ยวแห้งอับเฉา  ก็ไม่เป็นที่ต้องการของผู้ใด

    แต่คนมีศีลมิได้เป็นเช่นนั้น

    คนมีศีลนั้นหอมอยู่เสมอ  หอมทั้งตามลม  และทวนลม  หอมทั้งในเวลามีชีวิตอยู่  และละโลกนี้
ไปแล้ว  เป็นที่ชื่นชมรักใคร่ของคนทั่วไปในเวลาที่มีชีวิต  เป็นที่เสียดายอาลัยรัก  และกล่าวขวัญสรรเสริญ
ถึงในเวลาที่ตายไป  ทั้งนี้เพราะตลอดเวลาที่มีชีวิต  คนมีศีลไม่มีพิษมีภัยต่อผู้ใด  มีกิริยาวาจาละมุนละไม
น่ารัก  ไม่ฆ่าตี  ข่มเหง  เบียดเบียน  ทำร้ายใคร  ทั้งด้วยกาย  และวาจา  ประกอบด้วยความเมตตากรุณา
แก่สัตว์ทั้งปวงอยู่เป็นนิจ

    พวงมาลัยดอกไม้หอมที่นายช่างบรรจงร้อยไว้อย่างมีระเบียบ  ย่อมงดงามน่าดู  ควรค่า
แก่การเป็นเครื่องสักการะฉันใด  คนที่มีกิริยาวาจานุ่มนวลเรียบร้อย  งดงาม  ก็ควรค่าแก่ความ
เคารพนับถือยกย่องฉันนั้น

    ด้วยเหตุนั้น  พระสีลวเถระองค์อรหันต์  ผู้สาวกของพระพุทธเจ้า  จึงสรรเสริญศีลว่า  ศีลเป็น
อาภรณ์คือเครื่องประดับอันประเสริฐ

    เพชรนิลจินดาและอาภรณ์อันมีค่า  มิใช่เครื่องประดับอันประเสริฐ  เพราะไม่อาจทำกาย วาจา ใจ 
ของผู้ประดับให้งดงามได้

    คนมีศีลเป็นเครื่องประดับจึงงดงามทุกเมื่อ

    ก็ศีลนั้นคืออะไร  ทำอย่างไรจึงจะชื่อว่าเป็นคนมีศีล

    ศีล  คือความไม่ล่วงละเมิดของผู้มีเจตนาความตั้งใจงดเว้นจากความชั่ว  ทางกาย  วาจา 
และอาจตลอดไปถึงใจด้วย

    บางคนอาจจะไม่ล่วงละเมิดเพราะตั้งใจไว้ก่อน เช่นตั้งใจว่าจะไม่ฆ่าสัตว์ ก็ไม่ฆ่า ตามที่ตั้งใจไว้

    แต่บางคนก็ไม่ล่วงละเมิดโดยที่มิได้ตั้งใจไว้ก่อน  ต่อเมื่อมีเหตุที่จะให้ล่วงละเมิดเกิดขึ้นเฉพาะ
หน้า ก็คิดงดเว้นไม่ล่วงละเมิดได้เอง  เช่นเห็นงูพิษเลื้อยเข้ามาในบ้าน  รู้ว่าเป็นงูพิษ   ถ้ากัดใครเข้าอาจถึง
ตายได้  จึงหยิบไม้ขึ้นมาหมายจะตีงูให้ตาย  แต่แล้วเกิดเมตตาสงสารว่า  งูมันก็มีชีวิตเช่นเดียวกับเรา  มัน
คงกลัวเจ็บกลัวตายเหมือนเรา  อย่าทำมันเลย แล้วก็โยนไม้ทิ้ง  ไล่งูให้ออกไปเสียจากบ้าน  การกระทำเช่น
นี้ก็เป็นศีล แต่เป็นศีลที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า  โดยมิได้มีเจตนาคิดจะงดเว้นมาก่อน

    ศีลจึงเป็นเครื่องขัดเกลา  กาย  วาจา  รวมไปถึงใจให้สะอาด  เป็นเครื่องขัดเกลากิเลส
อย่างหยาบที่จะล่วงออกมาทางกาย  ทางวาจา  มีการตี  การด่าเป็นต้น

    ศีลนั้นแม้จะมีความหมายหลายอย่าง  แต่โดยทั่วไปมักแปลกันว่า  ปกติ  คือปกติของกาย  ของ
วาจา  ซึ่งโดยปกติจะสงบไม่รุกราน  ไม่เบียดเบียน  ทำร้ายใคร  แต่เมื่อละปกติคือผิดปกติก็ไม่สงบ  รุกราน 
เบียดเบียน  ทำร้ายผู้อื่น  ด้วยอำนาจของจิตใจที่ผิดปกติ  เพราะโลภะ  โทสะ  และโมหะ

    เพราะเหตุที่  ศีล  มีความหมายว่า  ปกติ  คือปกติของกาย วาจา ใจ  ศีลจึงมี * ๓ อย่าง
คือ  กุศลศีล  อกุศลศีล  และอัพยากตศีล

*ขุททกนิกาย  ปฏิสัมภิทามรรค  ญาณกถา  ข้อ  ๘๙

    ปกติของกาย  วาจา  ใจ  ที่เป็นกุศล  มีกุศลจิตเป็นเหตุให้เกิด  ชื่อว่า  กุศลศีล
    ปกติของกาย  วาจา  ใจ  ที่เป็นอกุศล  มีอกุศลจิตเป็นเหตุให้เกิด  ชื่อว่า  อกุศลศีล
    ปกติของกาย  วาจา  ใจ  ที่มิใช่กุศล และอกุศล  มิได้มีกุศลจิต  หรืออกุศลจิตเป็นเหตุให้เกิด 
หากมีอัพยากตจิต  คือ  กิริยาจิตเป็นเหตุให้เกิด ชื่อว่า  อัพยากตศีล

    ปาปชน  มีอกุศลศีลเป็นส่วนมาก  มีกุศลศีลเป็นส่วนน้อย
    กัลยาณชน  มีกุศลศีลเป็นส่วนมาก  มีอกุศลศีลเป็นส่วนน้อย
    พระอริยบุคคลที่ยังเป็นเสกขบุคคล  ๓  จำพวก  คือพระโสดาบัน  พระสกทาคามี  และพระ
อนาคามี  มีกุศลศีลเพียงอย่างเดียว  เพราะท่านเป็นผู้มีศีลบริบูรณ์แล้ว
    พระอริยบุคคลที่เป็นอเสกขบุคคล  คือพระอรหันต์มีอัพยากตศีลเพียงอย่างเดียว

    ใน  กิมัตถิยสูตร  อังคุตตรนิกาย  ทสกนิบาต  ข้อ  ๑  พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า 
ทรงแสดงอานิสงส์ของศีลที่เป็นกุศล  คือ  กุศลศีล  ที่มีกุศลจิตเป็นสมุฏฐาน แก่ท่านพระอานนท์ไว้  ๑๐ 
ประการ  คือ
    ๑.  ศีลที่เป็นกุศลมีอวิปปฏิสาร  คือความไม่เดือดร้อนใจเป็นผล  เป็นอานิสงส์
    ๒.  ความไม่เดือดร้อนใจมีความปราโมทย์เป็นผล  เป็นอานิสงส์
    ๓.  ความปราโมทย์มีปีติเป็นผล  เป็นอานิสงส์
    ๔.  ปีติมีปัสสัทธิ  คือความสงบใจเป็นผล  เป็นอานิสงส์
    ๕.  ปัสสัทธิ  มีสุข  คือความสุขใจเป็นผล  เป็นอานิสงส์
    ๖.  สุขมีสมาธิเป็นผล  เป็นอานิสงส์
    ๗.  สมาธิมียถาภูตญาณทัสสนะ  คือความเห็นด้วยญาณตามความเป็นจริงเป็นผล  เป็นอานิสงส์
    ๘.  ยถาภูตญาณทัสสนะ  มีนิพพิทาวิราคะ  คือความหน่ายความคลายเป็นผล  เป็นอานิสงส์
    ๙.  นิพพิทาวิราคะ  มีวิมุตติญาณทัสสนะ  คือความเห็นด้วยญาณเป็นเครื่องหลุดพ้นเป็นผล 
เป็นอานิสงส์
    ๑๐.  ศีลที่เป็นกุศลย่อมถึงอรหันต์โดยลำดับ  ด้วยประการฉะนี้

    เพราะฉะนั้น  โลกียศีลจึงเป็นบันไดให้เข้าถึงโลกุตตรศีล  เข้าถึงอธิศีลสิกขา  เป็น
อริยศีลได้ในที่สุด

    มนุษย์นั้นมีมากมายหลายประเภท  สวยมาก  สวยน้อย  ดีมาก  ดีน้อย  บางคนทั้งสวยทั้งดี  บาง
คนไม่สวยด้วยไม่ดีด้วย  บางคนเรียบร้อย  บางคนหยาบคาย บางคนอ่อนโยน  บางคนดุร้าย  บางคนมีศีล 
บางคนไม่มีศีล  สุดแท้แต่กรรมจะจำแนกให้เป็นไป

    ในจำนวนคนมากมายหลายประเภทเหล่านี้  คนมีศีลเป็นคนประเสริฐ  ยิ่งมีศีลด้วย 
สวยด้วย  ยิ่งประเสริฐสุด  เหมือนดอกไม้ที่สวยทั้งสีและกลิ่น

    ส่วนคนสวยที่ไม่มีศีลนั้น  ก็เหมือนดอกไม้ที่สวยแต่สี  หามีกลิ่นไม่

    คนเราจะมีศีลได้ก็เพราะมีหิริ และโอตตัปปะ  คือความละอายและเกรงกลัวบาป  ทั้งบาปของ
ตนและคนอื่น  โดยอาศัยการมีสติเตือนตนว่า "เราเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าผู้บริสุทธิ์  ไม่ควรกระ
ทำความชั่ว"  ดังนี้เป็นต้น  หรือเพราะเกรงคำครหาของผู้อื่นว่า  "ผู้นี้เป็นถึงสาวกของพระพุทธเจ้า 
ทำไมจึงประพฤติชั่วอย่างนี้"  ดังนี้เป็นต้น  เมื่อมีสติคิดได้อย่างนี้  จิตใจก็อ่อนโยน  ไม่กล้าทำความชั่ว 
เมื่อไม่ทำความชั่วก็ไม่เดือดร้อน  ศีลจึงมีความไม่เดือดร้อนเป็นผล  เป็นอานิสงส์

    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ในมหาปรินิพพานสูตรทีฆนิกาย  มหาวรรค ว่า
ผู้มีศีลย่อมได้รับอานิสงส์  ๕  ประการ  คือ
    ๑.  ย่อมได้รับโภคทรัพย์ใหญ่  เพราะความไม่ประมาทเป็นเหตุ  ( ดังที่พระท่านแสดง
อานิสงส์ของศีลในเวลาให้ศีลว่า  สีเลน  โภคสมปทา )
    ๒.  เกียรติศัพท์อันงามของผู้มีศีล  ย่อมฟุ้งขจรไปไกล
    ๓.  ผู้มีศีลเข้าไปสู่สมาคมใดๆ  ย่อมเข้าไปอย่างองอาจไม่เก้อเขิน
    ๔.  ผู้มีศีลย่อมไม่หลงทำกาละ  ( คือไม่หลงในเวลาตาย )
    ๕.  ผู้มีศีล  ตายแล้วย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์  ( สีเลน  สุคตึ  ยนฺติ )

    นอกจากนั้นพระพุทธองค์ยังทรงแสดงไว้ด้วยว่า  ผู้ที่หวังได้รับความรักใคร่  สรรเสริญจากบัณฑิต
ทั้งหลาย  ควรทำศีลให้บริบูรณ์

    ศีลเป็นที่พึ่งของผู้ประพฤติพรหมจรรย์ในพระศาสนา
    ศีลเป็นเสมือนน้ำที่ล้างมลทิน  คือความชั่วของสัตว์ทั้งหลาย  อันน้ำในแม่น้ำทั้งหลายไม่อาจล้างได้
    ศีล  ยังผู้รักษาให้สงบเย็น  ไม่ร้อนรุ่มด้วยกิเลส
    กลิ่นใดที่ฟุ้งไปได้ทั้งทวนลม  และตามลม  กลิ่นนั้นเสมอด้วยกลิ่นศีลไม่มี
    บันไดที่จะขึ้นสู่สวรรค์  และบรรลุนิพพาน  ( สีเลน  นิพฺพุตึ  ยนฺติ )  ที่จะเสมอด้วยบันได
คือศีลหามีไม่

    บุคคลแม้จะงดงามด้วยเครื่องประดับอันมีค่า  ก็ยังไม่งามเท่าบุคคลที่มีศีลประดับกาย  วาจา  ใจ

    ผู้มีศีล  ย่อมติเตียนตนเองไม่ได้  เมื่อพิจารณาถึงความประพฤติของตน  ย่อมเกิดปีติ
ทุกเมื่อ
    เพราะศีลมีอานิสงส์มากมายดังกล่าว  ศีลจึงเป็นรากฐานแห่งคุณความดีทั้งหลาย  และกำจัดความ
ชั่วทั้งปวง

    ศีลยังมีระดับสูงต่ำตามเจตนาของผู้รักษา  ถึง *  3  ระดับคือ

* ในวิสุทธิมัคกล่าวหลายนัย  ในที่นี้ยกมาเพียงนัยเดียว 

    ศีลที่บุคคลสมาทานรักษา  เพื่อต้องการภวสมบัติ  และโภคสมบัติ  ด้วยอำนาจตัณหา  ความต้อง
การ  ชื่อว่า  หีนศีล  ศีลอย่างต่ำ
    ศีลที่บุคคลสมาทานรักษา  เพื่อต้องการให้ตนเองหลุดพ้นจากกิเลส  ชื่อว่า  มัชฌิมศีล
ศีลอย่างกลาง
    ศีลที่พระโพธิสัตว์รักษา  เพื่อต้องการให้สัตว์ทั้งหลายหลุดพ้นจากกิเลส  ชื่อว่า  ปณีตศีล
ศีลอย่างประณีต

    ศีลมีทั้งศีลของบรรพชิต   และศีลของคฤหัสถ์
    ศีลของบรรพชิต  แบ่งเป็นสอง  คือ   ศีลของภิกษุมี  ๒๒๗  ศีลของสามเณรมี  ๑๐
    ศีลของคฤหัสถ์  ได้แก่ศีล  ๕  ศีล  ๘  และศีลอุโบสถ

    สำหรับบรรพชิตนั้น ท่านไม่เป็นพิษเป็นภัยแก่ใครอยู่แล้ว  เพราะอยู่ในกรอบของศีลที่พระพุทธองค์
ทรงบัญญัติไว้  แต่คฤหัสถ์ที่ปราศจากศีล  ๕  อาจเป็นพิษเป็นภัยแก่ตนเองและผู้อื่นด้วย  ในที่นี้จึงขอกล่าว
ถึงศีลที่คฤหัสถ์ควรรักษาเพื่อขัดเกลากิเลสของตนเอง  และเพื่อความสงบสุขของสังคม เพียงแต่ทุกคนพา
กันรักษาศีล  ๕  ข้อเท่านั้น  ชาวโลกก็จะอยู่ร่วมกันเป็นปกติสุข

    ศีล  ๕  ข้อ  คือ
    ๑.  ปาณาติปาตา  เวรมณี  งดเว้นจากการทำชีวิตสัตว์ให้ตกล่วงไป
    ๒.  อทินนาทานา  เวรมณี  งดเว้นจากการถือเอาของที่เจ้าของมิได้ให้
    ๓.  กาเมสุ  มิจฉาจารา  เวรมณี  งดเว้นจากการประพฤติผิดในกาม
    ๔.  มุสาวาทา  เวรมณี  งดเว้นจากการกล่าวเท็จ
    ๕.  สุราเมรยมัชชปมาทัฏฐานา  เวรมณี  งดเว้นจากการดื่มสุราและเมรัย 
อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท

    เพียงรู้จักว่าศีล  ๕ ข้อมีอะไรบ้างเท่านั้น  ยังไม่พอ  ผู้รักษายังต้องรู้เลยไปถึงว่า  ท่านวางกฎ
เกณฑ์ไว้อย่างไรในการวินิจฉัยว่าทำอย่างไรแค่ไหนจึงล่วงศีล  คือศีลขาด โดยใช้กฎเกณฑ์ในการวินิจฉัยที่
ท่านเรียกว่า  องค์ของศีล  เป็นเครื่องตัดสิน  ถ้าครบองค์ของศีลข้อนั้นๆ ศีลข้อนั้นก็ขาด  ถ้าไม่ครบองค์ที่
วางไว้  ขาดไปหนึ่งหรือสองข้อ  ถือว่าศีลไม่ขาด  แต่ศีลก็เศร้าหมอง  องค์ของศีลที่ท่านวางไว้จึงเป็นเครื่อง
เตือนใจให้สำรวมระวังไม่ประมาท

    ศีลข้อ  ๑  มีองค์  ๕  คือ
    ๑.  *ปาโณ  สัตว์มีชีวิต
    ๒.  ปาณสญฺญิตา  รู้ว่าสัตว์มีชีวิต
    ๓.  วธกจิตฺตํ  จิตคิดจะฆ่า
    ๔.  อุปกฺกโม  เพียรเพื่อจะฆ่า
    ๕.  เตน  มรณํ  สัตว์ตายด้วยความเพียรนั้น
    ------------------------------------------------------
    * อรรถกถาบางแห่งใช้ว่า  ปรปาโณ  คือสัตว์อื่นที่มีชีวิต  มิได้หมายถึงตัวเอง  เพราะฉะนั้น
การฆ่าตัวเองจึงไม่ล่วงกรรมบถ  เพราะไม่ครบองค์ของศีลข้อนี้

    ถ้าครบองค์ ๕  ศีลข้อ  ๑  ก็ขาด  ถ้าไม่ครบ  ๕  ข้อ  ศีลไม่ขาด  แต่ก็เศร้าหมอง
    โทษของศีลข้อ  ๑  นี้   อย่างหนักทำให้ไปเกิดในอบาย  เป็นสัตว์นรก  เปรต  อสูรกาย  สัตว์
เดรัจฉาน  อย่างเบาทำให้อายุสั้นเมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์

    ถึงกระนั้นโทษของการล่วงศีลข้อนี้ก็หนักเบาต่างกันด้วยร่างกายของสัตว์ ๑  ด้วยคุณของสัตว์ ๑ 
ด้วยเจตนา ๑  และด้วยความพยายาม ๑

    กล่าวคือ  ถ้าฆ่าสัตว์ใหญ่ โทษก็มาก  ถ้าฆ่าสัตว์เล็ก  โทษก็น้อย
    ถ้าฆ่าสัตว์มีคุณมาก  โทษก็หนักมาก  ถ้าฆ่าสัตว์มีคุณน้อย  โทษก็น้อยลดหลั่นกันลงไป
    ถ้าเจตนา  คือความจงใจแรง  โทษก็แรง  ถ้าเจตนาคือ  ความจงใจอ่อน  โทษก็น้อย
    ความพยายามมากโทษก็มาก  ความพยายามน้อยโทษก็น้อย

    แต่อย่าได้คิดว่าเมื่อท่านฆ่าสัตว์เล็ก  ทั้งมีคุณน้อย  มีความจงใจอ่อน  และมีความพยายามน้อย 
โทษก็น้อย   คงจะไม่น่ากลัว  อย่าลืมว่า  บาปอกุศลนั้นถึงแม้จะเล็กน้อยก็ไม่ควรทำ  เพราะเมื่อสำเร็จเป็น
กรรมแล้ว   ย่อมพาไปอบายได้เช่นเดียวกับโทษหนักเหมือนกัน  เพียงแต่ว่าอาจไปอยู่ในอบายชั่วระยะเวลา
อันสั้น  ไม่ยาวนานเหมือนโทษหนัก  เพราะฉะนั้นจึงควรสังวรระวังไม่ประมาทแม้โทษเพียงเล็กน้อย

    ใน  อรรถกถาวัมมิกสูตร  มัช.มูล.  เล่าถึงพวกโจรที่ฆ่าอุบาสกที่เป็นพระอนาคามีว่าทำให้ตา
บอดทันที  เพราะผู้ถูกฆ่าเป็นสัตว์ใหญ่  มีคุณธรรมสูง  เจตนาของโจรก็แรง  ผลจึงเกิดขึ้นในปัจจุบันทันที 
ยังไม่ต้องกล่าวถึงโทษที่จะเกิดในอนาคตว่าจะร้ายแรงแค่ไหน

    ศีลข้อ  ๒  มีองค์  ๕  คือ
    ๑.  ปรปริคฺคหิตํ  ของมีเจ้าของหวงแหน
    ๒.  ปรปริคฺคหิตสญฺญิตา  รู้ว่ามีเจ้าของหวงแหน
    ๓.  เถยฺยจิตฺตํ  จิตคิดจะลัก  ( ทั้งโดยคิดลักเอง  หรือใช้ให้ผู้อื่นลักแทน )
    ๔.  อุปกฺกโม  เพียรเพื่อจะลัก
    ๕.  เตน  หรณํ  นำของมาด้วยความเพียรนั้น

    ถ้าครบองค์  ๕  ศีลข้อสองนี้ก็ขาด
    โทษของศีลข้อสองนี้  อย่างหนักทำให้ไปเกิดในอบายเช่นเดียวกับศีลข้อ ๑  อย่างเบาทำให้ทรัพย์
สมบัติพินาศไปเมื่อเกิดเป็นมนุษย์

    ศีลข้อ  ๓  มีองค์  ๔  คือ
    ๑.  อคมนียวตฺถุ วัตถุที่ไม่ควรถึง (คือชาย หรือหญิงที่มีเจ้าของ หรือมีผู้คุ้มครองดูแลรักษา)
    ๒.  ตสฺมึ  เสวนจิตตํ  จิตคิดจะเสพในวัตถุนั้น
    ๓.  เสวนปฺปโยโค  พยายามที่จะเสพ
    ๔.  มคฺเคน  มคฺคปฺปฏิปตฺติ  อธิวาสนํ  ทำมรรคต่อมรรคให้ถึงกัน

    ถ้าครบองค์  ๔  ที่วางไว้  ศีลข้อ  ๓  นี้ก็ขาด
    ศีลข้อนี้ขึ้นอยู่กับเจตนา  และคุณของผู้ถูกล่วงด้วย  กล่าวคือ  ถ้าจงใจมากโทษก็หนัก  ถ้าจงใจ
น้อยโทษก็น้อย  ถ้าผู้ถูกล่วงเป็นผู้มีศีลโทษก็หนัก  เช่นในสมัยพุทธกาล  นันทมาณพล่วงเกินนางอุบลวรรณา
อรหันตเถรี   โทษถึงธรณีสูบก่อนแล้วจึงตกนรกอเวจี

    โทษของศีลข้อ  ๓ นี้  อย่างหนักทำให้เกิดในอบาย  อย่างเบาทำให้มีศัตรู คู่เวร  เมื่อเกิดเป็นมนุษย์
(ในชาดกแสดงว่าทำให้เกิดเป็นกระเทย หรือเมื่อเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน หรือมนุษย์แล้วต้องถูกตอน)

    ศีลข้อ  ๔  มีองค์  ๔  คือ
    ๑.  อตถํ  วตฺถุ  เรื่องไม่จริง
    ๒.  วิสํวาทนจิตฺตํ  จิตคิดจะพูดให้ผิด
    ๓.  ตชฺโช  วายาโม  พยายามพูดออกไป
    ๔.  ปรสฺส  ตทตฺถวิชานนํ  คนอื่นเข้าใจเนื้อความนั้น

    ถ้าครบองค์  ๔  ที่วางไว้  ศีลข้อ  ๔  ก็ขาด
    โทษของศีลข้อ  ๔  นี้   อย่างหนักทำให้เกิดในอบาย   อย่างเบาทำให้ถูกกล่าวตู่ด้วยคำที่ไม่เป็น
จริง  ในเมื่อเกิดเป็นมนุษย์

    ศีลข้อ  ๕  มีองค์  ๔  คือ
    ๑.  มทนียํ  ของทำให้เมามีสุราเป็นต้น
    ๒.  ปาตุกมฺยตาจิตฺตํ  จิตใคร่จะดื่ม
    ๓.  ตชฺโช  วายาโม  พยายามดื่ม
    ๔.  ปีตปฺปเวสนํ  ดื่มให้ไหลล่วงลำคอเข้าไป

    ถ้าครบองค์  ๔  ที่วางไว้  ศีลข้อที่  ๕  ก็ขาด
    * โทษของศีลข้อ  ๕  นี้  อย่างหนักทำให้เกิดในอบาย  อย่างเบาทำให้เป็นบ้า  ขาดสติ  ในเมื่อ
เกิดเป็นมนุษย์
    ------------------------------------------------------
    * โทษของศีลทั้ง  ๕  ข้อ  จากสัพพลหุสสูตร  อํ.  อัฏฐกนิบาต  ข้อ  ๑๓๐

    ในปัจจุบันนี้มีสิ่งเสพติดที่มีโทษมากกว่าสุราและเมรัย เช่นกัญชา และยาเสพติดเป็นต้น  แม้จะ
ไม่จัดไว้แต่เดิม   แต่ถ้าเสพแล้วก็สงเคราะห์เข้าว่าขาดศีลข้อ   ๕   นี้เช่นกัน  โดยอาศัยมหาประเทศ  ๔  
ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในวินัยเป็นเครื่องตัดสิน

    ศีลทั้ง  ๕  ข้อนี้  เมื่อผู้ใดล่วงเข้า  ถือว่าล่วงกรรมบถมีโทษมาก  จัดเป็นเวร  คือก่อให้
เกิดผลร้ายทั้งในปัจจุบัน  และอนาคต

    เช่นเมื่อล่วงศีลข้อ  ๑  มีผลทำให้เกิดในอบาย  หรือทำให้มีอายุสั้นเป็นต้น  ทั้งเป็น โลกวัชชะ คือ 
มีโทษที่ชาวโลกควรเว้น  กล่าวคือ  ศีลทั้ง  ๕  ข้อนี้  ถึงใครจะรักษาหรือไม่รักษาก็ตาม  เมื่อประพฤติล่วงเข้า
แล้ว ย่อมเกิดโทษแก่ผู้ล่วงนั้นทั้งสิ้น  ทำให้ได้รับโทษเกิดในอบายเป็นต้น

    เพราะฉะนั้นจึงควรเว้นสิ่งที่มีเวรมีโทษเสีย

    อนึ่ง  ผู้ที่ไม่ฆ่าสัตว์  แต่ชอบเบียดเบียนสัตว์ให้เป็นทุกข์เดือดร้อน  แม้ศีลข้อที่  ๑  ไม่ขาด  แต่ก็
ขาดธรรม  คือเมตตากรุณา  ด้วยเหตุนี้ผู้ที่จะรักษาศีล  ๕  ให้บริสุทธิ์หมดจดจริงๆ  จึงต้องมีธรรมที่คู่กับศีล
แต่ละข้อกำกับไว้ด้วย  คือ

    ๑.  เมตตากรุณา  คู่กับศีลข้อที่  ๑  เมตตา  นั้นได้แก่  ความปรารถนาจะให้ผู้อื่นเป็นสุข  ส่วน 
กรุณา  นั้นปรารถนาจะให้ผู้อื่นพ้นทุกข์
    ๒.  สัมมาอาชีวะ  การเลี้ยงชีวิตชอบ  คู่กับศีลข้อที่  ๒  ในที่นี้หมายถึงการประกอบอาชีพที่สุจริต
ไม่ผิดศีลผิดธรรม  เพื่อให้ได้ทรัพย์สินมาใช้สอยเลี้ยงดูตนเองและผู้ที่อยู่ในความรับผิดชอบของตน
    ๓.  ความสำรวมในกาม  คือยินดีเฉพาะคู่ครองของตน  คู่กับศีลข้อที่  ๓
    ๔.  ความมีสัจจะ  คือพูดจริงทำจริง  คู่กับศีลข้อที่  ๔
    ๕.  ความมีสติ  สำรวมระวังไม่ประมาท  คู่กับศีลข้อที่  ๕

    ผู้มีทั้งศีลและธรรมคู่กันไป  ย่อมเป็นผู้งามพร้อมไม่มีที่ติ  เพราะฉะนั้น  ศีล ( ที่ประกอบด้วย
ธรรม )  จึงเป็นอาภรณ์  หรือเครื่องประดับอันประเสริฐสำหรับมนุษย์

    ผู้ที่ปรารถนา  ลาภ  ยศ  สรรเสริญ  สุข  ตลอดจนการเกิดในสุคติเป็นมนุษย์  และเทวดา  หรือ
ปรารถนาจะไม่เกิด  คือบรรลุนิพพาน  ก็ต้องอาศัยศีล

    พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า  ความปรารถนาของผู้มีศีลเท่านั้นที่จะสำเร็จ  หรือความสำเร็จ
ผลสมความปรารถนาจะเกิดแก่ผู้มีศีลเท่านั้น

    ทุกคนปรารถนาของดีทั้งสิ้น  ไม่มีใครปรารถนาของไม่ดี  เมื่อปรารถนาของดีก็ต้องทำดี  ผลที่
ได้รับจึงจะดีตามการกระทำ   แต่ถ้าปรารถนาของดีแล้วทำชั่ว  ผลที่ได้รับก็ชั่วตามการกระทำ   เมื่อได้รับ
ผลชั่วมีการเกิดในอบายเป็นต้นแล้ว  ความปรารถนาเหล่านั้นจะสำเร็จได้อย่างไร

    ผู้ที่ไม่ทำชั่วจึงต้องมีศีลเป็นเครื่องคุ้มครองป้องกัน

    นอกจากนั้นพระพุทธองค์ยังตรัสว่า  ศีล  ๕  นี้เป็น  มหาทาน*  เป็นทานที่ยิ่งใหญ่  เพราะเป็น
การให้ความไม่มีเวรไม่มีภัยแก่สัตว์ทั้งหลายหาประมาณมิได้  กล่าวคือ

*ปุญญาภิสันทสูตร  อังคุตตรนิกาย  อัฏฐกนิบาต  ข้อ  ๑๒๙

    การรักษาศีลข้อ  ๑  คือการงดเว้นจากการฆ่าสัตว์   ทั้งด้วยตนเองและใช้ให้ผู้อื่นฆ่าแทนตน 
เป็นการให้ชีวิตแก่สัตว์ทั้งปวง
    การรักษาศีลข้อ  ๒  คืองดเว้นจากการถือเอาของที่เจ้าของเขามิได้ให้  เป็นการให้ความ
ปลอดภัยแก่ทรัพย์สินของผู้อื่น
    การรักษาศีลข้อ  ๓  คือการงดเว้นจากการประพฤติผิดในบุตร  ภรรยา  สามีของผู้อื่น เป็นการ
ให้ความบริสุทธิ์แก่บุตร  ภรรยา  สามีของผู้อื่น
    การรักษาศีลข้อ  ๔  คือการงดเว้นจากการพูดเท็จ  เป็นการให้ความจริงแก่ผู้อื่น
    การรักษาศีลข้อ  ๕  คือการงดเว้นจากการดื่มสุราเมรัย  และสิ่งเสพติดอันเป็นโทษทุกชนิด 
เป็นการให้ความปลอดภัยแก่ทุกสิ่ง  คือให้ความปลอดภัยแก่ชีวิตสัตว์  ให้ความปลอดภัยแก่ทรัพย์สิน
ของผู้อื่น  ให้ความบริสุทธิ์แก่บุตร  ภรรยา  สามีของผู้อื่น ให้ความจริงแก่ผู้อื่น  ทั้งนี้เพราะผู้ที่มึนเมาเพราะ
สุราเป็นต้น  ย่อมขาดสติ  สามารถทำความชั่วได้ถึงที่สุด  คือฆ่าแม่ฆ่าพ่อก็ได้  เพราะฉะนั้นการงดเว้นจาก
การเสพสิ่งเสพติด  มีโทษเหล่านี้จึงเป็นการให้ความปลอดภัยแก่ทุกสิ่ง

    ก็เมื่อเราได้ให้ความไม่มีเวร  ไม่มีภัยแก่สัตว์ทั้งหลายหาประมาณมิได้อย่างนี้แล้ว  ย่อมได้รับ
ความไม่มีเวร  ไม่มีภัย  ไม่ถูกเบียดเบียน  หาประมาณมิได้เช่นกัน  เพราะเราทำเหตุอย่างใด  ย่อมได้รับ
ผลเช่นนั้น

    ด้วยเหตุนี้ผู้ไม่มีปัจจัยจะบริจาคทาน  จึงไม่ควรเสียใจ  เพราะกุศลที่สูงกว่าทานที่ไม่ต้องอาศัย
ปัจจัยก็สามารถบำเพ็ญได้นั้นมีอยู่  กุศลนั้นคือ  ศีลกุศล  ที่พระพุทธองค์ตรัสว่า  เป็นมหาทาน  ล้ำเลิศกว่า
ทานธรรมดา  ที่ต้องเสียสละของออกไปเสียอีก

    ควรหรือไม่ที่จะรักษาศีล  ๕  ให้บริสุทธิ์

    ดังได้กล่าวแล้วว่า  ศีล  ๕  เป็นศีลของคฤหัสถ์  ที่คฤหัสถ์ทั้งชายหญิงควรรักษาเป็นปกติ  เป็น
ประจำตลอดชีวิต
อุโบสถศีลที่ประกอบด้วยองค์ ๘ มีดังนี้
๑. ปาณาติปาตา เวรมณี งดเว้นจากการทำชีวิตสัตว์ให้ตกล่วงไป
๒. อทินนาทานา เวรมณี งดเว้นจากการถือเอาของที่เจ้าของมิได้ให้
๓. อพรหมจริยา เวรมณี งดเว้นจากการประพฤติผิดพรหมจรรย์
๔. มุสาวาทา เวรมณี งดเว้นจากการกล่าวเท็จ
๕. สุราเมรยมัชชปมาทัฏฐานา เวรมณี งดเว้นจากการดื่มสุราและเมรัย อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท
๖. วิกาลโภชนา เวรมณี งดเว้นจากการบริโภคอาหารในเวลาวิกาล
๗. นัจจคีตวาทิตวิสูกทัสสนมาลาคันธวิเลปนธารณมัณฑนวิภูสนัฏฐานา เวรมณี งดเว้นจากการฟ้อนรำ ขับร้อง ประโคมดนตรี และดูการเล่นอันเป็นข้าศึกต่อกุศล ลูบทาทัด ทรงประดับตกแต่งร่างกายด้วยระเบียบดอกไม้ ของหอม เครื่องย้อม เครื่องทาอันเป็นฐานะ แห่งการแต่งตัว
๘. อุจจาสยนมหาสยนา เวรมณี งดเว้นจากการนั่ง และการนอนบนที่นอนสูงใหญ่
อุโบสถศีลอันมีองค์ ๘ นี้ องค์ที่ ๑-๒-๔-๕ เหมือนศีลข้อ ๑-๒-๔-๕ ของศีล ๕ ที่แปลกกัน คือข้อ ๓
พรหมจริยา
ศีลข้อ ๓ อพรหมจริยา เวรมณี มีองค์ ๔ คือ
๑. อชฺฌาจรณียวตฺถุ วัตถุที่จะพึงประพฤติล่วง ( คือมรรคทั้ง ๓ )
๒. ตตฺถ เสวนจิตฺตํ จิตคิดจะเสพในวัตถุที่จะพึงล่วงนั้น
๓. เสวนปฺปโยโค พยายามเสพ
๔. สาทิยนํ มีความยินดี
ศีลข้อ ๖ วิกาลโภชนา เวรมณี มีองค์ ๔ คือ
๑. วิกาโล เวลาตั้งแต่เที่ยงแล้วไปจนอรุณขึ้น
๒. ยาวกาลิกํ ของเคี้ยวของกินที่สงเคราะห์เข้าในอาหาร
๓. อชฺโฌหรณปฺปโยโค พยายามกลืนกิน
๔. เตน อชฺโฌหรณํ กลืนให้ล่วงลำคอเข้าไปด้วยความเพียรนั้น
กาล
วิกาล
อัฏฐบาน
น้ำที่ทำจากผลมะม่วง ๑ ผลหว้า ๑ ผลกล้วยมีเมล็ด ๑ ผลกล้วยที่ไม่มีเมล็ด ๑ ผลมะทราง ๑ ผลจันทน์ หรือผลองุ่น ๑ เง่าบัว ๑ ผลมะปรางหรือลิ้นจี่ ๑
ต่อมาทรงมีพุทธานุญาตน้ำผลไม้ทุกชนิด เว้นน้ำต้มเมล็ดข้าวเปลือก น้ำใบไม้ทุกชนิด เว้นน้ำ ผักดอง น้ำดอกไม้ทุกชนิด เว้นน้ำดอกมะทราง และทรงอนุญาตน้ำอ้อยสด
นอกจากนี้ พระพุทธองค์ยังทรงอนุญาตให้บริโภคเภสัช ๕ อย่างคือ เนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย รวมทั้งงบน้ำอ้อย ในเวลาวิกาลได้
๑-๒. พระวินัยปิฎกมหาวรรค เภสัชชขันธกะ ข้อ ๘๖ และข้อ ๒๖
ศีลข้อ ๗
ศีลข้อ ๗ ตอนแรก นัจจคีตวาทิตวิสูกทัสสนะ เว้นจากการฟ้อนรำ ขับร้อง ประโคมดนตรี และดูการเล่นอันเป็นข้าศึกต่อกุศล มีองค์ ๓ คือ
๑. นจฺจาทีนิ การเล่นมีฟ้อนรำขับร้อง เป็นต้น
๒. ทสฺสนตฺถาย คมนํ ไปเพื่อจะดูหรือฟัง
๓. ทสฺสนํ ดูหรือฟัง
*การขับร้อง คือการร้องไห้ การฟ้อนรำ คือความเป็นบ้า การหัวเราะจนเห็นฟันพร่ำเพรื่อ คือความเป็นเด็ก
ศีลข้อ ๗ ตอนหลัง มาลาคันธวิเลปนธารณมัณฑนวิภูสนัฏฐานา เวรมณี เว้นจากการลูบทา ทัดทรง ประดับตกแต่งร่างกายด้วยระเบียบดอกไม้ ของหอม เครื่องย้อม เครื่องทาอันเป็นฐานะแห่งการ แต่งตัว มีองค์ ๓ คือ
๑. มาลาทีนํ อญฺญตรตา เครื่องประดับตกแต่ง มีดอกไม้และของหอม เป็นต้น
๒. อนุญฺญาตการณาภาโว ไม่มีเหตุเจ็บไข้ เป็นต้นที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาต
๓. อลงฺกตภาโว ทัดทรงประดับตกแต่ง เป็นต้นด้วยจิตคิดจะประดับให้สวยงาม
วันหนึ่งคืนหนึ่งนั้น
ศีลข้อ ๘ อุจฺจาสยนมหาสยนา เวรมณี งดเว้นจากการนั่งและการนอนบนที่นอนสูงใหญ่ มีองค์ ๓ คือ
๑. อุจฺจาสยนมหาสยนํ ที่นั่งที่นอนสูงใหญ่
๒. อุจฺจสยนมหาสยนสญฺญิตา รู้ว่าที่นั่งที่นอนสูงใหญ่
๓. อภิสีทนํ วา อภิปชฺชนํ วา นั่งหรือนอนลง
ที่นั่งและที่นอนสูงใหญ่
ก็ปกติของคฤหัสถ์นั้น ยังยินดีติดใจในการการเสพประเวณี ในการบริโภคจนเกิน ประมาณ ในการตกแต่งร่างกายให้สวยงาม ในการนอนสบาย แต่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติ อุโบสถศีล ๔ ข้อนี้ขึ้น เพื่อขัดเกลาความยินดี ติดใจในสิ่งเหล่านี้ของคฤหัสถ์เป็นครั้งคราว เพียงชั่ววันหนึ่งคืนหนึ่งเป็นอย่างต่ำ ๓ วันเป็นอย่างกลาง ( ปฏิชาครอุโบสถ ) ๓ เดือนตลอด พรรษาเป็นอย่างสูง ( ปาฏิหาริยปักขอุโบสถ ) มิได้ทรงบัญญัติให้รักษาจนตลอดชีวิตอย่าง พระอรหันต์
"แม้เราจะรักษา อุโบสถศีลจนตลอดชีวิตอย่างพระอรหันต์ไม่ได้ ก็ขอดำเนินรอยตามท่านด้วยการรักษาอุโบสถศีล อันมีองค์ ๘ นี้ ขั่ววันหนึ่งคืนหนึ่ง"
*
* อุโปสถสูตร อํ ติกนิบาต ข้อ ๕๑๐
วิสาขสูตร อํ อัฏฐกนิบาต ข้อ ๑๓๓
ก็สมบัติมหาศาลของพระราชาในเมืองมนุษย์นั้นเป็นของเล็กน้อยเปรียบเหมือนสมบัติ ของคนจน เมื่อเทียบกับสมบัติและความสุขอันเป็นทิพย์ในเทวโลก ที่ผู้รักษาอุโบสถศีลจะพึงได้ รับเมื่อสิ้นชีวิตไปแล้ว
อุโบสถศีล จึงมีผลมาก มีอานิสงส์มากอย่างนี้
นางวิสาขา
อุโบสถ* มี ๓ อย่าง คือ
๑. โคปาลกอุโบสถ อุโบสถที่เปรียบเหมือนคนรับจ้างเลี้ยงโค
๒. นิคัณฐอุโบสถ อุโบสถของพวกนักบวชนิครนถ์
๓. อริยอุโบสถ อุโบสถของพระอริยะ
* อุโปสถสูตร อํ ติกนิบาต ข้อ ๕๑๐
โคปาลกอุโบสถ
นิคัณฐอุโบสถ
อริยอุโบสถ
อุโบสถจึงมีผลมาก เพราะจิตของผู้รักษาบริสุทธิ์ ไม่มีผลมากเพราะจิตเศร้าหมอง
เจริญพุทธานุสสติ
*พรหมอุโบสถ
* อุโปสถสูตร อํ ติกนิบาต ข้อ ๕๑๐
พรหม
เจริญธัมมานุสสติ
ธรรมอุโบสถ
เจริญสังฆานุสสติ
สังฆอุโบสถ
เจริญสีลานุสสติ
ศีลอุโบสถ
ศีลที่ไม่ขาด
ไม่ทะลุ
ไม่ด่าง
ไม่พร้อย
เจริญเทวตานุสสติ
เทวดาอุโบสถ
สักกสูตร อังคุตตรนิกาย ทสกนิบาต ข้อ ๔๖
อย่าว่าแต่ผู้ที่ปฏิบัติตามคำพร่ำสอนของพระองค์ตลอด ๑๐ ปีเลย แม้ปฏิบัติตามคำสอนของ พระองค์น้อยกว่านั้นลงมาตามลำดับจนถึง ๑ วัน ๑ คืน ก็พึงได้รับความสุขอย่างเดียวตลอด ๑๐๐ ปีก็มี หมื่นปีก็มี แสนปีก็มี พึงเป็นพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามีก็มี
ธรรมที่ปฏิบัติดีแล้ว ย่อมนำสุขมาให้อย่างนี้
ศีล ๘
ปัญญา
* ศีลเท่านั้นเป็นเลิศ แต่ผู้มีปัญญาเป็นผู้สูงสุด ในโลกนี้ ความชนะในมนุษยโลกและเทวโลก ย่อมมีได้เพราะศีลและปัญญา
* ขุททกนิกาย, ปุณณเถรคาถา, สีลวเถรคาถา
ความชนะในที่นี้ หมายถึง
ความชนะกิเลส
ศีลที่มีปัญญาเป็นพื้นฐาน จึงไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย เป็นไท ไม่เป็นทาส ของตัณหาและทิฏฐิ
ศีล สมาธิ และปัญญา
แต่เบื้องปลาย ศีล สมาธิ และปัญญา จะประชุมพร้อมกันเป็นมรรคสมังคี ในอริยมรรค มีองค์ ๘ เป็นอริยศีล อริยสมาธิ และอริยปัญญา
อริยศีลที่ประกอบด้วยอริยสมาธิ และอริยปัญญา ในขณะนั้นเท่านั้น ที่บรรลุนิพพานได้
อริยศีลนี้ จึงชื่อว่า สีเลน นิพฺพุติ ยนฺติ โดยแท้จริง
*
* อํ. ทุกนิบาต ข้อ ๒๗๕
จริงหรือไม่ว่า ศีลเป็นอาภรณ์อันประเสริฐ


กาเยน วาจาย จ โยธ สญฺญโต
มนสา จ กิญฺจิ น กโรติ ปาปํ
น อตฺตเหตุ อลิกํ ภณาติ
ตถาวิธํ สีลวนฺติ วทนฺติ

      ผู้ใดสำรวมในโลกนี้ สำรวมทางกาย วาจาและใจ
ไม่ทำบาปอะไรๆ และไม่พูดพล่อย เพราะเหตุแห่งตน
ท่านย่อมเรียกคนเช่นนั้นว่า ผู้มีศีล

จาก :- สรภังคชาดก ขุททกนิกายชาดก ข้อ ๒๔๖๖
ศีลเป็นอาภรณ์อันประเสริฐ
ประณีต  ก้องสมุทร
ขอขอบคุณ
คุณโยธกา ภักดีเมฆานนท์
[ ผู้คัดลอก และตรวจทาน ]
จัดทำเมื่อ 12 เมษายน พ.ศ. 2545
ธรรมคือแรงใจ
96 ธรรมคือแรงใจ
precept
จิตเดิมแท้ของเรานั้นทุกคนนั้นมาจากธรรมชาติอันบริสุทธิ์