ชีวิตจริงที่ถูกลืม
ธรรมคือแรงใจ
ชีวิตจริง...ที่ถูกลืม
สำนักพิมพ์เอกอนันต์บุ๊ค
Tel : 034-246644
Mobile : 085-0658236, 089-6726781
Fax : 034-246644
email : 96rangjai@gmail.com
โลโก้เอกอนันต์
    บุคคลหรือหน่วยงานใดสนใจจัดพิมพ์หนังสือธรรมะเผยแพร่เพื่อแจกจ่ายเป็นธรรมทานแก่วัด  ห้องสมุด  โรงเรียน  โรงพยาบาล สถานสงเคราะห์  ทัณฑสถาน ฯ หรือใช้ในโอกาสอันเป็นมงคลในชีวิตท่าน  เช่น วันเกิด   ทำบุญบ้าน  กฐิน  ผ้าป่า  วันขึ้นปีใหม่  งานเกษียณอายุราชการ  งานศพ  สร้างอุทิศส่วนกุศล  สะเดาะเคราะห์  หรือแจกจ่ายในงาน มงคล-อวมงคลต่างๆ
    อนึ่ง  ทางรสำนักพิมพ์มีความยินดีในกุศลเจตนาของท่านผู้มีใจอนุเคราะห์ช่วยเหลือกล่อมเกลาจิตใจของชาวโลกด้วยกุศโลบายอันพระพุทธองค์ได้ทรงสรรเสริญแล้ว ทั้งนี้ ทางสำนักพิมพ์ขอร่วมอนุโมทนาบุญ โดยให้ความสะดวกในด้านบริการในราคาพิเศษและจัดส่งตามรายการสั่ง  ไม่ว่าซื้อน้อย-ซื้อมาก  ในกรุงเทพฯ หรือต่างจังหวัด  ทางสำนักพิมพ์ยินดีให้บริการแก่ทุกท่าน
96 ธรรมคือแรงใจ
จิตเดิมแท้ของเรานั้นทุกคนนั้นมาจากธรรมชาติอันบริสุทธิ์
สนทนาธรรม
บทสนทนากับท่านผู้เฒ่า
A Conversation with an Old Man

รจนาเป็นภาษาทิเบตโดย ลามะ กุน-ตัง กน-ชก ตรอน-เม
แปลพากย์ภาษาอังกฤษโดย เกลน เอ็ช มูลลิน
แปลพากย์ภาษาไทยโดย พัลลภ กฤตยานวัช

สัมโมทนียกถา

ได้อ่านเรื่องคำสนทนากับท่านผู้เฒ่า
ซึ่งแปลมาจากภาษาธิเบตเป็นภาษาอังกฤษ
และมีผู้สนใจแปลเป็นภาษาไทย มีต้นฉบับภาษาอังกฤษไว้ด้วย
เหมาะสำหรับนักศึกษาจะได้อ่าน
ได้ความรู้ทางภาษาด้วย ได้หลักธรรมที่เขาสนทนากันด้วย
เหมือนยิงนกได้สองตัว เป็นประโยชน์มาก
ผู้ใคร่รู้ไม่ควรละเลยไม่สนใจ จักขาดทุน
จงช่วยกันอ่านเพื่อศึกษา จะได้ปัญญาเพิ่มขึ้น
หลวงพ่ออ่านแล้ว เห็นว่าเป็นประโยชน์มาก
จึงขอแนะนำแก่ผู้แสวงหาปัญญาควรศึกษาอย่างยิ่ง

พระปัญญานันทะ (พระพรหมมังคลาจารย์)
วัดชลประทานรังสฤษฏ์ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี
๑๕ ธันวาคม ๒๕๔๘

ที่มา...คุณสาวิกา

พระพุทธ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าทั้งหลาย
ผู้หลุดพ้นแล้วจากข่ายแห่งสังสารวัฏผู้ปราศจากกองทุกข์
แห่งความเกิด ความแก่ ความเจ็บ และความตาย
ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าทั้งหลายเหล่านั้นได้โปรดดลใจ
ให้ข้าพระองค์สามารถตัดกรงข่ายแห่งการเวียนว่ายตายเกิด
ในภพภูมิแห่งสังสารวัฏนี้ด้วยเถิด
ณ กาลครั้งหนึ่ง มีผู้เฒ่าหง่อมชราท่านหนึ่ง
นอนอ่อนระโหยโรยแรง อยู่ข้างถนนริมราวป่า
ณ ที่นั้น มีชายหนุ่มผู้อหังการ์ ได้ผ่านมาพบเข้าพอดี
และ ต่อไปนี้ คือ บทสนทนาของบุคคลทั้งสอง

ท่านผู้เฒ่าเอย ท่านนั่ง ท่านเดิน หรือท่านทำอะไรก็ตาม
ท่านไม่เหมือนใครเลยที่กระผมเคยประสบพบเห็น
มีเหตุปัจจัยเช่นไรหนอ ที่ก่อให้ท่านเป็นอย่างนั้น?

เมื่อได้ยินคำถามเช่นนี้ ท่านผู้เฒ่าจึงเอ่ยวจีตอบว่า...
เจ้าหนุ่มเอย เจ้าโลดแล่นระเริงไป ด้วยความภาคภูมิใจ
และหยิ่งผยองในความหนุ่มแน่นแห่งเนื้อหนังมังสาของเจ้า
จงฟังข้าให้ดี เมื่อหลายปีผ่านมาแล้ว
...ข้ายิ่งมีความแข็งแรงมากกว่าเจ้าเสียอีก

ในการวิ่ง ข้าวิ่งเอาชนะม้า และเมื่อข้าต้องการดักจับสัตว์
ข้าก็อาจจับจามรีป่า ณ แดนเหนือได้
ข้าสามารถเดินเหินได้อย่างแคล่วคล่องว่องไว
ราวกับนกโบยบินในนภากาศ และใบหน้าของข้าก็สวยสดงดงาม

ข้านุ่มห่มด้วยเสื้อผ้าแพรพรรณที่งามระยับมีเพชรนิลจินดาประดับแต่ง
ดื่มกินอาหารอันเลิศรสโอชา
และข้าขี่ม้าที่ทรงพลังวังชา วิ่งพุ่งมุ่งหน้าได้อย่างรวดเร็วที่สุด

ไม่มีเกมกีฬาใด ที่ข้าไม่เคยเล่น ไม่มีความสุขสำราญใด ที่ข้าไม่เคยสัมผัส
ข้าไม่เคยคิดถึงมัจจุราช แม้แต่เสี้ยววินาที หรือมีสติใคร่ครวญถึงวัยชรา

เสียงครึกครื้นรื่นเริง และสรวลเสเฮฮา ของบรรดาเหล่ามิตรสหาย
และปวงเครือญาติที่แวดล้อมข้า ทำให้ข้าจดจ่ออยู่แต่ในเรื่องเหล่านั้น
และเมินหน้าหันเหไปจากความจริงอื่น
แต่แล้วความทุกข์ระทมแห่งวัยชรา ก็ค่อยๆ คืบคลานมาสู่ข้า
ตอนแรกข้าก็ไม่ได้สังเกตุเฝ้าดู
แต่เมื่อข้ารู้ข้าเห็นก็สายไปเสียแล้ว
เวลานี้เมื่อข้าส่องดูกระจกเงา
ข้าต้องเบือนหน้าหนีจากความจริงที่ข้าเห็น

บุคคลใดที่บวชตามแบบประเพณีตันตระ
น้ำพระพุทธมนต์แห่งตันตระ จะเริ่มหลั่งจากศีรษะก่อน
และลามไหลลงไปสู่ทั่วสรรพางค์กาย
ความตายนั้นหนา ก็เคลื่อนมาเฉกเช่นเดียวกัน
เส้นผมบนศีรษะของผู้คนจะเริ่มเปลี่ยนเป็นสีขาว
และอาการแห่งชราภาพอื่นๆ ก็แสดงออกมาอีก

เส้นผมของข้า ขาวราวกับเปลือกหอยทะเล
ข้าไม่ได้ย้อมผมเปลี่ยนสีใหม่
แต่ทว่าพญามัจจุราชเทพแห่งความตายได้ถ่มน้ำลายรดใส่ข้า
และสะเก็ดขาวนั้นจึงปกคลุมไปทั่วศีระษะของข้า

ริ้วรอยยับย่นปรากฏบนใบหน้า ไม่เปล่งปลั่งอิ่มตึง
ดังช่วงสมัยที่ยังเป็นเด็กน้อยเยาว์วัย ... เหล่านี้ไซร้
บ่งบอกถึงอายุขัยสมควรที่ถูกจัดสรรให้
จากเงื้อมมือของพระกาลผู้กลืนกินสรรพสัตว์

ข้าต้องขยิบนัยน์ตาอย่างต่อเนื่อง
นี่มิใช่ว่า ข้าระคายเคืองจากหมอกควัน
... ทว่าสายตาของข้านั้นได้พร่ามัวลงแล้ว
ข้าจึงต้องขยิบขยี้ตา เพื่อให้มองเห็นได้ชัดเจน

เมื่อข้าเอนตัวไปข้างหน้าเช่นนี้
และใช้มือป้องหู เพื่อให้ได้ยิน
... นี่หาใช่ว่า ข้าอยากฟังเสียงกระซิบความลับจากเจ้า
แต่เป็นเพราะว่า หูข้ามันตึง และเสียงทั้งหลาย
เสมือนอยู่ไกลออกไป ข้าจึงต้องดึงตัวเจ้าเข้าใกล้ชิด
เพื่อให้ได้ยินเสียงที่ชัดเจนจากเจ้า


น้ำมูกไหลออกจากจมูกข้าโดยไม่ตั้งใจ
นี่คือเกล็ดแข็งแห่งช่วงสมัยที่ข้ายังหนุ่มน้อยเยาว์วัยที่ถูกหลอมละลายไป
โดยสุริยาแห่งวัยชรา...หาใช่ว่าเป็นไข่มุกขาว ที่กราวร่วงจากสร้อยคอไม่

ฟันทั้งหมดของข้าได้หลุดร่วงไป
นี่มิใช่ จะเป็นส่วนหนึ่งแห่งรอบวงจรที่ส่อแสดงว่า
ฟันซี่ใหม่จะกลับงอกขึ้นมาอีก
แต่ทว่าอาหารที่หล่อเลี้ยงชีวิตนี้ ได้ถูกกลืนกินสิ้นแล้ว
และอุปกรณ์การดื่มกิน ก็ถูกเก็บออกเสียแล้ว

ข้าไม่ระเริงสุขอย่างต่อเนื่อง
เพราะเหตุว่า ข้าประสงค์จะคารวะต่อพระแม่ธรณี ด้วยอุทกธาราก็หาไม่....
แต่ทว่าสิ่งทั้งหลายที่ข้าเคยเสพสุขสำราญนั้น
มาบัดนี้ มีแต่สร้างความรำคาญแก่ข้า
และน้ำลายจากปากของข้า ก็ไหลออกไปเองตามธรรมของมัน

การพูดคุยสนทนาของข้า ที่คลุมเครือไม่ชัดเจนนั้น...ก็หาใช่ว่า
ข้าจะส่งภาษาที่แปลกใหม่ที่ข้าเรียนรู้มาจากแดนไกล ถิ่นหนาว
หากเพราะว่าในอดีตกาลที่ล่วงผ่านมานั้น
... ข้าเอาแต่พูดคุยอย่างไร้สาระ ไม่หยุดหย่อน
แต่มาบัดนี้ ลิ้นของข้าได้กร่อนทรุดชำรุดลงแล้ว

ใบหน้าของข้าอันน่าเกลียดน่าชังที่เจ้ามองเห็นนั้น
หาใช่เป็นหน้ากากวานร ที่ข้านำมาสวมใส่...
แต่หากเป็นหน้ากาก แห่งวัยหนุ่มของข้าเอง ...
หน้ากากหนุ่มที่ข้าขอยืมมาใช้เพียงชั่วคราว
ทว่ามาบัดนี้ ผู้เป็นเจ้าของเขาเรียกรับกลับคืน ...
จึงเหลือแต่กระดูกแห่งมรณา ที่น่าชิงชังดำรงอยู่

ข้าสั่นหัวแกว่งไปมา อย่างต่อเนื่อง
...นี่หาใช่ว่า ข้าจะสื่อเรื่องส่งสัญญาณ ว่าข้าคัดค้านไม่เห็นด้วย
แต่เพราะว่าพญามัจจุราชเทพแห่งความตายได้ทุบตีข้าด้วยไม้เท้า ...
และหลังจากนั้น ข้าจึงมีสมองความจำที่เสื่อมลง

อาการเดินของข้าที่เจ้ามองเห็น
สายตาข้าที่ทอดกวาดลาดต่ำไปตามพื้นถนน...
หาใช่เป็นการมองค้นหาเข็ม ที่ทำตกหล่นสูญหาย ..
แต่วัชรมณีแห่งวัยหนุ่มของข้า ได้ตกลงสู่พื้นพสุธา
และข้าต้องเดินโยกเยกด้วยอ่อนล้าอ่อนแรง
จนแทบจะจำชื่อตัวข้าเองไม่ได้
อาการวิธีที่ข้า ต้องลุกนั่งด้วยสี่แขนขา
...นี่มิใช่ว่า ข้าจะเล่นสนุกเลียนแบบปวงสัตว์จตุบาท
แต่เป็นเพราะว่าขาข้าไม่มีแรงพยุงกาย ได้อีกต่อไป...
ข้าจึงต้องใช้องคาพยพทุกส่วนของข้า
ทั้งแขน และขาเข้าช่วยในการเคลื่อนไหว

ลีลาวิธีที่ข้าหย่อนตัวลงกระแทกนั่ง...ก็หาใช่ว่า
ข้าตั้งใจจะแสดงอาการไม่สุภาพ...
ทว่าเส้นสายแห่งความสุขสราญของข้าได้แตกสลาย
และสายใยแห่งความหนุ่มแน่นของข้าก็ถูกตัดรอนฉีกขาด
...ดังนั้นตัวข้า จึงไม่อาจเคลื่อนไหวได้อย่างสง่างาม

เมื่อข้าเดิน ข้าต้องเดินโขยกเขยกไปมา...
นี่มิใช่ว่า ข้าจะวางท่าโอ้อวดอหังการ์ และส่อแสดงว่า
ข้าเป็นผู้มีอิทธิพลยิ่งใหญ่...แต่เพราะว่าความหนักอึ้งแห่งวัยชรา
ได้ทุ่มทับใส่ข้าข้าจึงไม่อาจจะเดินได้อย่างตรงดี

สองมือข้าที่สั่นระริกระรัวไหว
...นี่มิใช่ว่า ข้าตื่นเต้นดีใจใคร่ได้รับวัชรมณี
แต่จักขุแห่ง พญามัจจุราช จ้องมองปราดมาที่ข้ารอคอยที่จะแย่งชิงมณีแห่งชีวิต
ปลิดไปจากมือของข้า...และข้าต้องประหวั่นพรั่นพรึงใจในสิ่งที่จะเกิดขึ้น

ข้าต้องจำกัดการกินอาหารเพียงน้อยนิด...นี่หาใช่ว่า
ข้าคิดตระหนี่ถี่เหนียว ทว่าพลังการย่อยอาหารของข้าได้เสื่อมด้อยถอยลงแล้ว
...และข้ากลัวจะตายเร็ว หากหลงกินมากเกินไป

เสื้อผ้าบางเบาที่ข้าสวมใส่...หาใช่เป็นการวางแผน
เพื่อไปร่วมงานสังคมหรูหรา
ทว่ากำลังกายที่มีของข้า ได้เสื่อมถอยลงมา
...แม้แต่การใส่เสื้อผ้านั้น ก็เป็นภาระที่หนักแล้วสำหรับข้า

อาการวิธีที่ข้าหายใจฟืดฟาดรุนแรงนั้น
...หาใช่ว่าข้ากำลังสวดมนต์ภาวนา เพื่อแผ่เมตตาแก่ผู้อื่นก็หาไม่
หากนั่นเป็นสัญญาณว่า ในอีกไม่ช้าไม่นานนี้
ลมหายใจแห่งชีวีของข้ากำลังจะสิ้นสลายกลายเป็นหนึ่งเดียวกับฟากฟ้า

อาการแปลกพิเศษนานาแห่งพฤติการณ์ของข้า
หาใช่เป็นการแสดงศิลปลีลาอันเลอเลิศ
แต่เป็นเพราะว่า ข้าถูกจู่จับโดยพญามัจจุราช
และข้าไม่อาจมีลู่ทางใดที่จะทำได้อย่างที่ข้าคิดอย่างที่ข้าปรารถนา

ข้าหลงลืมสิ่งทั้งหลายที่ข้าได้กระทำลงไป
...นี่หาใช่ข้าจงใจแสดงว่า ตัวข้าไม่ใส่ใจในความมานะพากเพียร
แต่เป็นเพราะว่า สมองของข้าถูกทำลาย อีกทั้งความจำ
และสติปัญญาของข้าได้เสื่อมด้อยถอยลงแล้ว

เจ้าไม่ต้องมาหัวเราะเยาะข้าหรอก
เพราะถ้วนทั่วทุกคนย่อมหนีไม่พ้นวัยชราภายในช่วงเวลา
อีกไม่กี่ปีที่จะมาถึงนี้ สัญญาณแรกแห่งมรณา ก็จะมาเยือนตัวเจ้าเช่นเดียวกัน

คำพูดของข้าอาจจะไม่ถูกหู ถูกใจเจ้า
...แต่อีกไม่นานหรอกหนาภาวะเช่นนี้ก็จะมีมาสู่เจ้า
ในยุคสมัยนี้ผู้คนมักมีชีวิตสั้น...และไม่มีหลักประกันใดว่า
ตัวเจ้าจะมีอายุยืนยาวหลายขวบปีเช่นเดียวกับตัวข้า
และมาตรแม้นว่าตัวเจ้าจะมีอายุยืนยาวเช่นข้า
...แต่ก็หามีหลักประกันใดว่า
เจ้าจะมีพละกำลังแห่งกาย วาจา และใจ
...เฉกเช่นผู้เฒ่าชราวัยที่อยู่ต่อหน้าเจ้า ณ กาลบัดนี้


เจ้าหนุ่มน้อย ถึงกับถอยผงะ และร้องอุทานอย่างเศร้าสลดว่า

"โอ้ ! ท่านผู้น่าสมเพชเวทนา ผู้ถูกวาจาดูหมิ่นดูแคลนจากปวงผู้คน
และถูกกระโชกโดยเหล่าสุนัขมากหลาย
ร่างกายของท่านก็ช่างน่ารังเกียจ น่ารันทด และหมดเรี่ยว หมดแรง
กระผมขอเลือกที่จะตาย ณ กาลบัดนี้
มากกว่าที่จะมีชีวิตอยู่ในภาวะหดหู่ชราวัยเช่นท่าน"


ท่านผู้เฒ่าอมยิ้ม กล่าวว่า

"เจ้าต้องการจะหนุ่มแน่นชั่วนิรันตรกาล
และเจ้าไม่ต้องการจะเป็นคนแก่ คนชรา
เจ้าพูดว่า เจ้าขอเลือกที่จะตายมากกว่าจะกลายเป็นคนแก่ผู้ชรา
แต่เมื่อเวลาแห่งความตาย ย่างกรายเข้ามาใกล้
เจ้าก็จะรู้เองว่า มิใช่ง่ายเลยที่จะเผชิญหน้ากับความตายได้อย่างเต็มใจ
และอย่างอาจหาญมั่นใจ

มาตรแม้นว่าใคร ไม่เคยทำร้ายสุภาพชน
สำรวมตนอยู่เนืองนิตย์ และบำเพ็ญจิตภาวนา
สมาทานไตรสิกขา มีรักษาศีล ทำสมาธิ และเจริญปัญญาญาณ
บางทีท่านเหล่านี้ อาจจะตายได้อย่างสงบสุข
แต่ก่อนนี้ตัวข้า หาได้ใส่ใจสักน้อยนิด
หาได้คิดคำนึงถึงคุณค่าทางจิตวิญญาณ
แต่ ณ กาลบัดนี้ ร่างกายของข้าได้แก่ชราลงแล้ว
ข้าจึงรู้สึกสำนึกได้ ่าเป็นโอกาสแสนดีในทุกวี่วัน
ที่จะหมั่นฝึกฝนอบรมภาวนาในแนวทางแห่งธรรมมรรคา
และตัวข้าเอง ก็ยังไม่อยากจะตายเร็วนัก"

   
เมื่อท่านผู้เฒ่าได้กล่าวเช่นนั้น
เจตคติของเจ้าหนุ่มน้อยก็พลันแปรเปลี่ยน



"ใช่แล้ว ท่านผู้เฒ่าเอย เป็นความจริงยิ่งแล้ว
สิ่งที่กระผมพบเห็นประจักษ์ด้วยสองตาของกระผม
และสิ่งที่กระผมได้ยินด้วยสองหูนั้น
เป็นสิ่งที่ยืนยัน ถึงสิ่งที่ท่านกล่าวอย่างแท้จริง
คำพูดของท่านสะท้านสะเทือนอารมณ์กระผมอย่างลึกล้ำ
ความทุกข์ยากลำบากของผู้เฒ่าชราวัย ช่างใหญ่หลวงยิ่งนัก

ท่านผู้เฒ่าเอย ท่านผ่านพ้นประสบการณ์มามากมาย
ดังนั้นได้โปรดเถิด ได้โปรดบอกความจริงแก่กระผม
ไม่มีวิธีการใดเลยเทียวหรือ
ที่บุคคลจะเอาชนะซึ่งความน่าสะพึงกลัวนี้ได้ ?

ท่านผู้เฒ่าอมยิ้มอีกคำรบหนึ่ง

"มี...ยังมี มรรควิธี ที่จะเอาชนะความน่าสะพึงกลัวนี้ได
และเป็นอุบายวิธีที่ไม่ยากเกินไปหรอกหนา
ด้วยว่าสรรพสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นมา ย่อมต้องดับสิ้นสลายไป
แลหาใช่มีทุกชีวิตที่จักสถิตอยู่ได้ถึงวัยชรา
ในการดำรงชีพมีชีวาโดยไม่ม้วยมรณานั้น
ต้องอาศัยอมฤตธรรมอันเป็นทิพยวิเศษ
และนั่นเป็นสิ่งพิเศษเอกอุที่จะบรรลุได้ยากยิ่ง

ผู้ยิ่งใหญ่ทุกท่านในอดีตกาลที่ผ่านมา ได้ม้วยมรณาลงสิ้นแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นพระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ พระอรหันต์
และพระราชา ผู้ที่ทรงคุณธรรม
เช่นเดียวกับผู้ที่ทำบาปกรรมอกุศล
ถ้วนทั่วทุกคน ต้องผจญกับความตายในวันหนึ่ง

แล้วตัวเจ้าจะพึงแตกต่างไปจากนี้หรือไฉน ?
"ผิว์กระนั้น หากผู้ใดหมั่นเจริญภาวนา ในมรคาวิถีแห่งจิตวิญญาณ
จิตเบิกบานแนบแน่นอยู่กับปิติสุข
ไม่ว่าเขาผู้นั้นจะอายุมากน้อยเพียงใดก็ตาม
เมื่อยามความตายได้มาถึง
บุคคลนั้นก็เปรียบประดุจดังเด็กน้อย ที่คล้อยเดินกลับบ้านอย่างสุขสำราญเริงใจ
เจ้าหนุ่มเอย แม้แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็มิได้กล่าวถึงอุบายวิธีที่ลึกซึ้งมากไปกว่านี้

นี่คืออนุศาสนีที่มีแก่เจ้า ที่กลั่นมาจากจิตเบื้องลึกที่สุดของข้า
มันออกมาจากใจของข้า หาใช่เพียงจากปากของข้าเท่านั้น
ชะตากรรมของเจ้าอยู่ในกำมือของเจ้าเอง
และเจ้าควรจะเชื่อถือไว้วางใจ ในมโนธรรมสำนึกลึกลงไปในตัวเจ้า"

เมื่อได้ฟังคำกล่าวเช่นนี้ หนุ่มน้อยจึงเอ่ยวจีตอบว่า

"จริงแล้วท่านเอย ท่านผู้เฒ่ากล่าวถูกต้องแล้ว
แต่ก่อนที่กระผมจะมอบตัวอุทิศตน เพื่อฝึกฝนอบรมจิตอย่างลึกซึ้งจริงจัง
ยังมีบางประเด็นที่กระผมใคร่ขอความแจ่มกระจ่าง

ตัวอย่างเช่น...ความต้องการกลับไปหาครอบครัวของกระผม
รวมทั้งเรื่องบ้านเรือน และทรัพย์สมบัติพัสถาน
เมื่อกระผมจัดการเรื่องเหล่านี้เสร็จเรียบร้อยดีแล้วนั่นแหละ
กระผมจึงจะแวะกลับมาหา และสนทนากับท่านอีกครั้งหนึ่ง"
ท่านผู้เฒ่าฟังแล้ว ถึงกับสะอึกอึ้งกล่าวว่า

"แนวคิดของเจ้า ไร้ซึ่งเหตุแลผลอันสมควร
แต่ก่อนนี้ ข้าก็มีชีวิตล่วงผ่านด้วยการคิดว่า
จะเริ่มฝึกฝนภาวนาในอีกไม่ช้านี้
แต่กิจการงานที่มีอยู่นั้น เปรียบประดุจดังหนวดเคราของเหล่าบุรุษ
ไม่ว่าเจ้าจะโกนมันออกเท่าใด การโกนก็หาได้จบสิ้นลงไม่
หนวดเคราใหม่ก็ยังงอกออกมาอีกร่ำไป
สำหรับตัวข้า ปีแล้วปีเล่าผ่านไปเช่นนี้
แต่กิจการงานของข้า ก็หาได้สิ้นสุดลงไม่
การผัดวันประกันพรุ่งเป็นเพียงการลวงล่อตัวเอง

หากเจ้าคิดจะผัดวันให้เนิ่นนานเรื่อยไป
เจ้าก็ไม่มีหวังที่จะก้าวหน้าสัมฤทธิ์ในทางจิตวิญญาณ
และการสนทนาของเรา ก็ไร้ผลสูญเปล่า
เจ้าก็เพียงแต่กลับไปบ้านของเจ้า
และปล่อยให้ตัวข้า ผู้แก่เฒ่าชรานี้
ได้นั่งสมาธิภาวนา สงบจิตไปตามลำพัง"
หนุ่มน้อยร้องดังออกมาอย่างตื่นตกใจแทบสิ้นสติ

"ท่านผู้เฒ่าเอย ท่านอย่าได้เคืองขุ่นกระผมเลย
คงจะเป็นการโง่เขลาเบาปัญญาของกระผมกระมังหนอ
หากกระผมจะละทิ้งสรรพสิ่งทุกอย่างของกระผม
ที่ได้ขวนขวายหามาตลอดชีวิต ! "

เมื่อรับฟังเช่นนี้ ท่านผู้เฒ่าจึงเอ่ยวจีตอบว่า

"เออหนอ เจ้าอาจพูดถ้อยคำเช่นนี้กับข้าได้
แต่พญามัจจุราช ผู้สถิตอยู่ ณ แดนใต้
หาได้คำนึงถึงแผนการของใครไม่
เจ้าควรจะเจรจากับพญามัจจุราช
แต่ทว่าเมื่อท่านมาพบกับเจ้า เรียกหาตัวเจ้านั้น
ท่านจะไม่ถามหรอกว่า เจ้าเป็นคนหนุ่มหรือเป็นคนแก่
สูงส่งหรือต้อยต่ำ ยากจนหรือร่ำรวย
พร้อมที่จะม้วยมรณาแล้วฤาหาไม่
ทุกผู้คนจะถูกบังคับให้ต้องลาลับจากไปโดยโดดเดี่ยวลำพัง
ทิ้งไว้ซึ่งกิจการงานที่ยังทำคั่งค้างอยู่
สายใยแห่งชีวิต จะขาดสะบั้นอย่างฉับพลันทันใด
ประดุจสายเชือกใยป่านที่ขาดกระจุยเมื่อรองรับของหนัก
ไม่มีเวลาเหลือเพื่อการวางแผนล่วงหน้า
ก็การตายที่ปราศจากธรรมปัญญา
ช่างเป็นการตายที่น่าสมเพชเวทนา ณ จุดเวลาแห่งการม้วยมรณานั้น
ความคิดของผู้คนจะพลันแปรเปลี่ยนสู่การมองเห็น
ความสำคัญของกรรม และอนิจจภาวะ

จะเป็นประโยชน์มากกว่านี้หรือไม่หนอ
ที่เจ้าจะปรับจิตเปลี่ยนใจเสียใหม่แต่บัดนี้
ในช่วงที่ยังพอจะมีเวลาเหลือ เพื่อการบำเพ็ญภาวนา
แต่ทว่าอนุศาสนีที่มีประโยชน์ล้ำค่า
ช่างหาได้ยากยิ่งในโลกนี้ และผู้ที่ปฏิบัติตามได้ ก็ยิ่งมีน้อยนักหนา"

เมื่อรับฟังท่านผู้ชรากล่าวธรรมกถาเช่นนี้
เจ้าหนุ่มน้อยถึงกับสะอึกอึ้ง ด้วยซาบซึ้งตรึงจิต
จึงก้มตัวลงหมอบราบ กราบท่านผู้เฒ่า เอ่ยว่า

"ไม่เคยมีมหาคุรุใด บนอุตมบัลลังก์อันบรรเจิด
ไม่เคยมีมหาโยคี หรือปรัชญาเมธีล้ำเลิศคนใด
ที่เคยให้ธรรมนิเทศแก่กระผม
ด้วยอนุศาสนีที่ละเอียดลึกซึ้งตรึงใจมากไปกว่านี้

ท่านผู้เฒ่าเอย...ท่าน คือกัลยาณมิตรทางจิตวิญญาณที่แท้จริง
และกระผมขอปฏิญาณว่า จะปฏิบัติตามธรรมเทศนาของท่าน
ขอท่านได้โปรดประทานคำแนะนำแก่กระผม เพิ่มเติมในเรื่องนี้ด้วยเถิด"

ท่านผู้เฒ่าจึงเอ่ยวจีตอบว่า

"ตัวข้าเองอาศัยอยู่ในโลกนี้ มายาวนานหลายขวบปี
ดังนั้น ข้าจึงได้รู้เห็นชีวีมามากมายหลายหลาก
ไม่มีเรื่องใดที่เข้าใจได้ยากยิ่งไปกว่า เรื่องธรรมวิถีแห่งจิตวิญญาณ
ธรรมวิถีที่ส่งผลต่อการเลื่อนชั้นชีวีที่สูงขึ้นไปสู่อิสรภาพ
และการตรัสรู้แจ้งเห็นจริงในสรรพสิ่ง

ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ที่จะเจริญภาวนา
จนมองเห็นประจักษ์แจ้งในสัจธรรมที่ทรงแสดง
โดยพระพุทธเจ้าทั้งหลาย และยากยิ่งขึ้นไปเป็นทวีตรีคูณ
ที่จะจำรูญจำเริญภาวนา ในช่วงแก่เฒ่าชราวัย

ในช่วงหนุ่มเยาว์วัยที่แหละหนา
คือกาลเวลาเหมาะเจาะแห่งการเรียนรู้
แลทำความคุ้นเคยกับพระสัจธรรมคำสอนของพระบรมศาสดา
และเมื่อถึงวาระที่ต้องแก่เฒ่าชราวัย ตามขวบปีที่ผันผ่าน
ก็ง่ายที่จะสืบสานดำรงตนอยู่ในธรรมภาวนานั้น"
"มาตรแม้นว่าผู้ใดได้เข้าใจแจ่มประจักษ์
แม้แต่เพียงสักประเด็นหนึ่งของคำสอนนี้
กรรมทั้งหลายที่กระทำ ก็จะนำส่งผลที่เป็นกุศลวิบาก

ไม่จำเป็นเลยที่จะต้องวิพากษ์ขบคิดทางตรรกปรัญชา
แต่เมื่อมีประสบการณ์รู้แจ้งเห็นจริงทางจิต
กรรมทั้งหลายที่กระทำ ทั้งทางกาย วาจา และใจ
ก็จะน้อมนำก้าวไปสู่ธรรมทัศน์แห่งจิตวิญญาณ
รากฐานของการฝึกฝนอบรมธรรมที่ถูกต้องแท้จริง
ย่อมต้องอิงอาศัยพระธรรมมาจารย์ และต้องมีการสำรวมสังวร
ในการเจริญภาวนาของตนอย่างรอบคอบไม่ประมาทพลาดพลั้ง
ประดุจดั่งที่ทุกคน ต้องระวังดวงตาของตนฉะนั้น

จงหันหลังให้กับการดิ้นรนทำงานตามโลกีย์วิถี
และจงมุ่งมั่นอยู่กับการศึกษา การทำสมาธิ และการเจริญภาวนา
ในเรื่องที่เป็นแก่นธรรมคำสอนอันทรงคุณล้ำค่าขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
และของท่านสองขะปะ ผู้เป็นธรรมทายาทในทิเบต

ด้วยการปฏิบัติตนในธรรมวิถีเช่นนี้
และด้วยการตั้งจิตดำรงมั่นในมรรคาวิธีแห่งการสะสมบุญบารมี
และการชำระจิตใจให้ปราศจากกิเลสอกุศล วิชชา
และปัญญาญาณก็จะเบิกบานเกิดผลดำรงอยู่กับผู้นั้น

เจ้าหนุ่มน้อย ผู้เป็นธรรมบุตรแห่งข้าเอย
ณ กาลบัดนี้ เจ้าจะได้บันเทิงเริงใจในอมฤตธรรม
และสรรพประสงค์ของเจ้าจะสัมฤทธิ์ผล"
การสนทนาธรรมดำเนินไปในครรลองเช่นนี้
และแล้วบุคคลทั้งสองนั้นก็ได้กลายเป็นธรรมกัลยาณมิตร
ได้สถิตอาศัยอยู่ปฏิบัติธรรมร่วมกันในราวป่า
ปราศจากปัญหาโลกธรรมแปดรบกวน
มีจิตดำรงมั่นยืนนาน อยู่ในฌานสมาธิภาวนา

ข้าพเจ้าขอจบเรื่องราวเกี่ยวกับท่านผู้เฒ่า
และเจ้าหนุ่มน้อยที่ได้พบกัน ณ ราวป่าในวันหนึ่ง
และเห็นพึงบันทึกคำสนทนานี้ไว้
เหตุที่ข้าพเจ้าเขียนเรื่องนี้ขึ้นมา
ก็เพื่อว่าจะได้เป็นพลานุภาพดลใจให้แก่ตัวข้าพเจ้าเอง
และแก่ผู้อื่นในการเร่งรัดปฏิบัติธรรมต่อไป

ข้าพเจ้าผู้ประพันธ์ คือ กน-ชก เต็น-ไป ดรอน-เม
หาใช่เป็นผู้ที่ผ่านประสบการณ์วิเศษในชีวิต
แต่ข้าพเจ้าคิดว่าเพื่อหิตานุหิตประโยชน์แก่อนุชนคนรุ่นหลัง
การสนทนาในครั้งนี้ ควรจะมีการบันทึกไว้
ด้วยมุ่งหมายว่ากุศลธรรมทั้งหลาย
จะพึงบังเกิดขึ้นในจิตใจของมวลมนุษยชาติ

สาวิกา ... ในฐานะผู้นำมาพิมพ์เผยแพร่
คาดหวังว่าเรื่องราว "บทสนทนากับท่านผู้เฒ่า" นี้
คงจะเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านทุกท่าน
ขอทุกท่านพึงน้อมระลึกถึง การได้เกิดเป็นมนุษย์
และได้พบพระพุทธศาสนานั้น มีค่ายิ่งนัก ...

และขอส่งท้ายเรื่องราวนี้ไว้ด้วยคำสอนของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ค่ะ

"หนทางยังมีอยู่ ผู้เดินทางยังไม่ขาดสาย
ลงมือเสียแต่วันนี้
ก่อนที่กระแสลมแห่งกาลเวลา
จะพัดพารอยพระบาทของท่านหายไป
เพราะถึงเวลานั้น
พวกเราก็จะต้องระหกระเหินไร้ทิศทาง
ไปอีกนานแสนนาน"
คุณค่าของชีวิตที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์
"Old man, in sitting, walking or working,
You are unlike anyone I have seen.
What is it that so afflicts you?"

To this the old man replied,
"0 youth, who flies in the pride
Of having strong flesh and blood,
Listen to me, for many years ago
I was even stronger than you.

"In running I could outrun a horse,
And when I wanted to trap
I caught even the wild yak of the north.
I was as light on my feet
As the birds of the air,
And my face as handsome as that of a god.

"I wore magnificent clothing,
Adorned myself with jewels,
Ate the finest delicacies
And rode the most swift of horses.

"There was no sport I did not play
And no pleasure I did not know.
I gave not a single thought to death
Or the advent of old age.
The noise of the friends
And relatives who surrounded me
Constantly held my attention
And turned my face from everything else.

"But the stealthy suffering of age
Slowly pressed in upon me.
At first I did not notice it,
And when I did it was too late.
Now when I look in a mirror
I am repelled by what I see.

"When one receives tantric initiation
The initiation waters first touch one's head
And then descend through the body.
Death comes in a similar fashion:
The crown of one's head turns white
And then the symptoms descend.

"My hair is white as a seashell.
I did not wash out the color.
The Lord of Death has spat on me
And the frost of his spittle covers my head.
The many lines and wrinkles on my face
Are not folds in the baby fat of a youth.
They are time measurements sketched
By the hand of the Keeper of Time.

"This constant squinting of my eyes
Is not caused by smoke.
My powers of vision have diminished
And I must squint in order to see.


ผู้เฒ่า
ครอบครัว
"When one receives tantric initiation
The initiation waters first touch one's head
And then descend through the body.
Death comes in a similar fashion:
The crown of one's head turns white
And then the symptoms descend.

"My hair is white as a seashell.
I did not wash out the color.
The Lord of Death has spat on me
And the frost of his spittle covers my head.
The many lines and wrinkles on my face
Are not folds in the baby fat of a youth.
They are time measurements sketched
By the hand of the Keeper of Time.

"This constant squinting of my eyes
Is not caused by smoke.
My powers of vision have diminished
And I must squint in order to see.

"When I lean forward like this
And cup my ear in order to listen,
It is not that I expect you to
Whisper me a secret message.
But to me all sounds seem remote
And I must strain in order to hear.
หันเหล่าเฉียนเหยิน
'"Droplets fall unexpectedly from my nose.
This is the ice of my youth
Being melted by the sun of old age,
Not pearls falling from a necklace.

"My teeth have all fallen out.
This was not part of a cycle
Heralding the growth of new teeth;
The meals of this life have been eaten,
And the cutlery therefore put away.

"I do not continually drool because
I want to anoint the earth with water.
Rather, all that I once enjoyed Now only disgusts me,
And my spittle drops of its own accord.

"My unclear conversation
Is not a dialect learned
In some cold, foreign land.
Once I indulged in meaningless talk without end,
And my tongue is now worn out.

"This ugly face that you see
Is not a monkey's mask that I wear.
It is just that my mask of youth ---
Mine only on loan for a short while ---
Has now been taken back, and
Only the ugly bones of death remain.

"This constant wobbling of my head
Is not a sign of my disapproval.
The Lord of Death has struck me with his club
And ever since then my brain is unsteady.

"This manner of walking that you see,
My eyes cast down at the road,
Is not in order to find
A needle that has been lost.
The jewels of my youth have fallen to earth,
And I walk in a daze,
Barely able to remember my own name.

"The way I rise on four limbs
Is not a playful imitation of an animal's ways.
My legs will no longer support me,
So I must use both arms and legs to move.

"The way I drop down when I sit is not
Intended as a display of bad manners.
The threads of my happiness have been broken
And the cords of my youth have been cut.
Hence I can no longer move with grace.

'"When I walk I stagger,
Not as a way to show off
And pretend I am a big man,
But because the burden of age
Rides heavily upon me
And I cannot walk properly.
"This constant shaking of my hands
Is not because I itch for jewels.
The eye of death is upon me, waiting
To steal life's gem from my hands
And I tremble in apprehension.

"The restricted diet that I follow
Is not so fixed because I am a miser.
My digestive powers have diminished
And I fear to die of overeating.

"The light clothing that I wear
Is not planned for a fancy dress party.
My physical strength has so diminished
That even clothing is a burden to me.

"The way I breathe so heavily
Is not because I am reciting prayers
For the benefit of others.
It is a sign that soon the breath
Of my life will melt into the sky.

"My extraordinary manner of behavior
Is not an inspired artistic expression;
I am held by the demon Death
And I have no power to move as I wish.

"I continually forget what I am doing
Not in order to demonstrate
That I have no respect for endeavor,
But because my brain is worn out, and
My memory and intelligence have grown dim.

"There is no need to laugh at me,
For all receive their share of old age.
Within the span of a few years, the first
Messengers of death will come to you too.

"My words have not yet impressed you,
But soon this same condition will befall you.
These days people do not live for long,
And you have no guarantee
To see as many years as have I.
Even if you reach me in years,
There is no assurance that you will have
Even the powers of body, speech and mind
Demonstrated by this feeble man before you."
ภาวนา
บำเพ็ญธรรม
ปฏิบัติธรรม