เอกอนันต์เผยแพร่ธรรม
9/6 ม.1 ต.คลองโยง อ.พุทธทณฑล จ.นครปฐม
โทร. 089-6726781, 081-234-0960
สร้างเสร็จเมื่อ 30/9/2556
96 ธรรมคือแรงใจ
ศีล ๕  พระโอวาทพระพุทธจี้กง
คำนำ
    1. ในปีเหยินเซิน  พระพุทธจี้กงเสด็จลงประทับ ณ ตำหนักฉือเอิน   แสดงโอวาทเรื่องศีล 5 เดือนละ 1 ครั้ง  ซึ่งใช้เวลา 5 ครั้งจึงจะกล่าวเรื่องศีล 5 จบ   นอกจากจะอธิบายถึงจุดประสงค์ของศีล 5 แล้ว  ยังกล่าวถึงทัศนคติที่ถูกต้องในการบำเพ็ญธรรม   ชี้นำให้ผู้คนเกิดการสำรวจตน  ให้สมกับเป็นผู้บำเพ็ญในธรรมกาลยุคขาว   ซึ่งรวมไปถึงญาติธรรมทั้งหลายที่พึงจะต้องรู้และเข้าใจ

2. ต้นฉบับของพระโอวาทศีล 5 นั้น   มีข้อผิดพลาดอยู่มากมาย   การถ่ายทอดเจตน์จำนงค์ผ่านภาษานั้นไม่ชัดเจนพอ   บัดนี้ได้ทำการแก้ไขใหม่ตามเทปบันทึกเสียง   รายละเอียดสำคัญที่เกี่ยวกับศีล 5 รวมไว้เป็นหนึ่งบท  ส่วนรายละเอียดอื่น ๆ เกี่ยวกับศีลข้อต่าง ๆ ก็ทำการคัดเลือกเอาส่วนสำคัญที่สอดคล้อง เป็นเหตุเป็นผลมาจัดเรียงใหม่   ทำให้ผู้ฟังที่ไม่เคยศึกษาศีล 5 มาก่อนได้ข้อคิด   ส่วนผู้ที่เคยอ่านศึกษามาแล้วก็เกิดความเข้าใจมากขึ้น    ซึ่งอาจจะฟังจากเทปก็ได้

    3. ในบทพระโอวาทได้กล่าวไว้ว่า.."การรับวิถีธรรมเป็นเพียงการผูกบุญสัมพันธ์ที่ดีเท่านั้น   การรักษาศีล   เป็นรากฐานของการละชั่วทำดี"  หวังว่าญาติธรรมทั้งหลายนอกจากจะมุ่งมั่นในการสร้างบุญกุศลแล้ว   ยังสามารถรักษาศีลได้ตามบทพระโอวาท  มิฉะนั้นแล้ว  ต่อให้สร้างบุญกุศลนับไม่ถ้วน   ความชั่วร้ายทั้ง 3 ในจิตใจ   ยังคงอยู่   เป็นบุญวาสนาที่มีกิเลส  ซึ่งไม่อาจส่งผลสู่โพธิมรรคได้


1. บทสรุปศีล 5
    1. ศีลวินัยเป็นสิ่งที่จะช่วยให้ทุกคนหลุดพ้นจากเกิดตาย   มิใช่เป็นสิ่งผูกมัดทุกคน  ซึ่งเปรียบเสมือนรถไฟที่แล่นอยู่บนรางเมื่อพ้นจากราง  รถไฟก็ย่อมจะเกิดอันตรายอย่างมหันต์  ศีลก็คือขอบเขต  เปรียบเสมือนแผนที่ที่แสดงให้เห็นว่าสถานที่ใดที่ไปได้  สถานที่ใดที่ไปไม่ได้   เมื่อมีขอบเขตก็จะไม่เกิดการล่วงล้ำกัน   คน ๆหนึ่งเมื่อทำสิ่งที่เลยเถิดเหนือไปกว่าสถานภาพของตนก็คือ   การผิดศีล  การรักษาศีลจะช่วยให้ตนเองเกิดจิตเมตตาสยบความคิดฟุ้งซ่านของตน  ก้าวไปสู่โพธิมรรค
    2. ศีลวินัยเป็นรากฐานของการหลุดพ้นเกิดตาย  หากไม่เข้าใจศีลวินัย   ก็จะก่อความผิดพลาดไว้มากมายโดยไม่รู้ตัว   แม้จะมีการสร้างบุญกุศลก็ไม่สามารถชดเชยได้   เมื่อมีศีลวินัยข้อบังคับ  ก็จะทำให้ลดการก่อวิบากกรรมไปได้มาก  ทุกศาสนาต่างก็มีศีลวินัย   เพียงแต่ชื่อเรียกต่างกันเท่านั้น   ศีล 5 มิใช่เป็นวิถีการบำเพ็ญเฉพาะแต่ในพุทธศาสนาเท่านั้น   แต่เป็นสิ่งที่ผู้บำเพ็ญทุกคน   จะต้องยึดถือปฏิบัติเพื่อก่อให้เกิดผลบุญกุศล
    3. ไม่ว่าศาสนาใด ๆ ล้วนมีวิถีแห่งการรักษาศีลเช่นเดียวกัน   ความคิดเป็นรากฐานของความชั่วทั้งปวง   จำเป็นต้องขจัดออกไปจึงจะสามารถเสริมสร้างความเป็นอริยะเพิ่มพูนปัญญาญาณได้    ดังนั้น  บำเพ็ญธรรมจะต้องรักษากรรม 3 ให้บริสุทธิ์  คือ  กายบริสุทธิ์   วาจาบริสุทธิ์   ใจบริสุทธิ์
    4. ไตรสิกขา (ศีล สมาธิ  ปัญญา) เริ่มจากศีล  เวไนย์ปลายกัป   รากฐานไม่ดีพอ  จึงไม่สามารถกระจ่างแจ้งจิตญาณได้ทันทีทันใด  จำเป็นต้องอาศัยศีลเป็นครูนำทาง (ไม่สามารถเกิดจิตญาณแห่งการตื่นรู้ได้  จึงจำเป็นต้องใช้ศีลเป็นครูนำทาง)  ต่อให้เป็นพระพุทธอริยะทั่วทศทิศ   ล้วนต้องเริ่มต้นบำเพ็ญจากศีล     ศีลคือพื้นฐานของการละความชั่วทั้งปวง   การแสวงธรรมเป็นเพียงการผูกบุญสัมพันธ์ที่ดีเท่านั้น   การถือศีลจึงจะเป็นรากฐานของการละความชั่วสร้างความดี
    5. หลักธรรมสามารถรู้ตื่นรู้แจ้งในฉับพลันได้  แต่การปฏิบัติต้องค่อยเป็นค่อยไป   ทุกคนมีแรงกรรมนิสัยที่ติดตัวมาจากอดีตชาติ   ไม่สามารถจะขจัดทิ้งไปได้ทันทีทันใด  จึงจำเป็นต้องเข้าชั้นอบรมไปทีละขั้น   อาศัยศีลวินัยในการปรับเปลี่ยนตนเอง   อย่าได้คิดว่าศีลวินัยเป็นวิถีทางสุดท้าย  หากไม่บำเพ็ญศีลพื้นฐานแล้ว   การพูดถึงพระสูตรจิตวิถีก็ไม่ก่อประโยชน์อันใด
    6. พุทธระเบียบในอาณาจักรธรรมก็คือ ศีล   การละเว้นจากการฆ่าสัตว์แสดงถึงความมีเมตตา  การละเว้นจากการลักทรัพย์แสดงถึงความมีคุณธรรม  การละเว้นจากการประพฤติผิดในกาม   แสดงถึงความมีจริยามารยาท   การละเว้นจากการพูดปดแสดงถึงความมีสัจจะ   การละเว้นจากการเสพและดื่มสุราของมึนเมาแสดงถึงการมีปัญญา  หลักมัชฌิมธรรมล้วนไม่ออกห่างจากศีลสมาธิปัญญา
    7. ศีลวินัยสามารถช่วยให้ครอบครัวมีความสุข   การที่จะทำให้สังคมเกิดความสมานฉันท์ได้นั้น   ทุกคนจะต้องถือศีล  ทุกคนรู้จักควบคุมตนเอง
    8. ศีลวินัยเป็นเรื่องละเอียดอ่อน   หากพลั้งเผลอเพียงนิดเดียวก็จะละเมิดศีลได้ง่าย   หากคนเราคิดว่ามันเป็นเรื่องยุ่งยาก   ไม่ใส่ใจไม่ทำความเข้าใจ    ก็จะทำให้ผลบุญวาสนาพร่องหายไป   จนสุดท้ายก็ไม่เหลืออะไร  ไม่น่าเสียดายหรอกหรือ?  ในอนาคตเมื่อสิ้นบุญไป  ก็จะต้องเป็นผู้ฝึกบำเพ็ญในแดนเทวพุทธาลัยเท่านั้นเอง   ดังนั้นจึงจำเป็นต้องรู้จักศีลวินัยไว้ให้ดี  ผู้ที่บำเพ็ญโพธิสัตว์มรรค   เป็นผู้ที่ไม่หวั่นเกรงต่อความยุ่งยากทั้งปวง  เขาบำเพ็ญอยู่ในท่ามกลางเมืองใหญ่ที่ครึกครื้น   ผันความกลัดกลุ้มให้เป็นโพธิ   ส่วนพระอรหันต์เป็นผู้ที่มีความหวั่นเกรงว่าตนเองจะยึดติดในโลกีย์   จึงหลีกหนีไปบำเพ็ญอยู่ตามป่าเขาลำเนาไพร
    9. จงอย่าคิดว่าศีลวินัยเป็นเครื่องพันธนาการ  และไม่สามารถใช้ศีลวินัยมาเปรียบเทียบหรือวัดคุณสมบัติของผู้อื่น   การบำเพ็ญยึดถือปฏิบัติในศีล 5 เป็นเรื่องปัจเจกบุคคล    พระอาจารย์มิได้บังคับพวกเจ้าเลย   หากคน ๆหนึ่งไม่เคร่งครัดกับตนเอง  มักจะทำอะไรตามอำเภอใจตามความสะดวก  ก็ยากที่จะบังเกิดบารมีธรรมขึ้นมาได้
    10. ศีลข้อที่ 1-4 นั้น  เรียกว่า "ศีลแห่งญาณ"  ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นใคร   จะรู้หรือเข้าใจหรือไม่ก็ตาม  เพียงแค่ได้กระทำผิดไป  ก็จะส่งผลเสียแก่จิตญาณตน  จะต้องรับผลแห่งกรรมนั้น  ส่วนศีลข้อที่ 5 คือ "ศีลละเว้น"  การละเว้นก็คือการระงับหยุดยั้ง   เนื่องจากสุราเป็นบ่อเกิดของความผิดบาปทั้งปวง  จำเป็นต้องหยุดยั้ง    แล้วกรรมแห่งการเข่นฆ่า  การลักทรัพย์   การประพฤติผิดในกาม  การพูดเท็จ  ก็จะไม่เกิดขึ้น
    11. แหล่งน้ำสามารถให้กำเนิดพลังงานไฟฟ้า   พลังงานแสง   พลังงานความร้อนได้  น้ำมิใช่ไฟฟ้า  ไฟฟ้าก็มิใช่น้ำ  แต่เป็นการสับเปลี่ยนกันของคุณสมบัติทางพลังงาน   เมื่อคนเราก่อกรรม  มักจะถูกส่งเข้าไปในวิญญาณที่ 8  ทันที  และผันแปรกลายเป็นแรงกรรม   ก่อให้เกิดการหมุนเวียนในวัฏฏะคติ 6  เมื่อคนเราสามารถบำเพ็ญธรรมรักษาศีลได้     จึงจะมีพลังในการยกระดับตนเองให้สูงขึ้น   ก้าวข้ามพ้นจากกฎแห่งกรรมได้   หากไม่ได้บำเพ็ญพลังความสามารถนี้ก็จะลดลงเองตามธรรมชาติ

ศีลข้อที่ 1
ปาณาติปาตา  เวรมณีศีล (ละเว้นจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต)
    1. มิใช่ว่าจะต้องถือมีดฆ่าคน  ฆ่าสัตว์จึงจะเรียกว่าการฆ่า  เพียงแค่เกิดความคิด  มีแรงผลักดันเพียงเล็กน้อย   โดยไม่ระมัดระวังก็จะสามารถสร้างกรรมร่วมของเข่นฆ่าได้แล้ว
    2. "การฆ่า"  มีหลายประเภท เช่น  การฆ่าตัวตาย  การฆ่าผู้อื่น  การสนับสนุนให้ฆ่า  เห็นการฆ่าเป็นเรื่องน่ายินดี   ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นการฆ่าทั้งสิ้น
    3. จงอย่าปลูกฝังเมล็ดพันธุ์แห่งการฆ่าตัวตายลงในมโนวิญญาณ  มิฉะนั้นจะส่งผลให้เกิดการฆ่าตัวตายติดต่อกันอย่างน้อย 7  ชาติ  วัยรุ่นหนุ่มสาวที่คิดไม่ตก  ปลงไม่ได้ทั้งหลายอย่าได้มีความคิดว่า "แม้จะไม่ได้เกิดในวันเดียว  เดือนเดียว  ปีเดียวกัน  แต่จะขอตายในวันเดียวเดือนเดียวปีเดียวกัน"  ซึ่งอาจส่งผลกรรมให้เกิดมาเป็นเด็กแฝดที่มีร่างกายติดกัน  และจะต้องได้รับความเจ็บปวดทรมานจากการผ่าตัดแยกร่างออกจากกัน
    4. แม้ความรักจะเป็นสิ่งสำคัญ   แต่ก็ไม่สำคัญไปกว่าชีวิต   การจะช่วยสัตว์เดรัจฉาน  ก่อนอื่นจะต้องละเว้นจากการฆ่าเสียก่อน  ผู้ที่บำเพ็ญในโพธิสัตวมรรค   จะต้องมีมหากรุณาเป็นพื้นฐาน   ฉะนั้นจะต้องละเว้นจากการฆ่า
    5. หากคนไต้หวันทั้งประเทศละเว้นจากการฆ่าและรับประทานอาหารเจ  ในเวลาไม่ถึง 2 ปี  ย่อมจะมีผลผลิตธัญญาหารอุดมสมบูรณ์   ชาวนาก็ไม่ต้องพ่นยาฆ่าแมลง   เหมือนกับหลายพันปีก่อน   ในยุคสมัยพระเจ้าเหยาและพระเจ้าซุ่น   แม้จะไม่มียาฆ่าแมลง   แต่ก็มีผลผลิตธัญญาหารอุดมสมบูรณ์
    6. การขายยาฆ่าแมลงแม้จะสามารถช่วยให้ชาวนามีผลผลิตมากมาย   แต่ก็ได้ฆ่าชีวิตนับไม่ถ้วน  กฎแห่งกรรมยังคงอยู่   ย่อมจะจองเวรต่อกันไม่สิ้นสุด  ผลแห่งกรรมมีการตอบสนองชาติปัจจุบัน   อนาคตชาติหรือผ่านไปหลายภพหลายชาติจึงตอบสนอง  เช่นการปลูกผัก   จะสามารถเก็บเกี่ยวได้ในระยะเวลาสั้น ๆ  แต่ถ้าปลูกผลไม้ก็จะต้องรอหลายปีจึงจะได้ผล
    7. หากมีคนบอกเจ้าว่าจะทำแท้ง   เจ้าก็พูดว่า "ดีสิ !  ไปเอาออกเถิด"  ก็ย่อมจะได้รับผลกรรมของการสนับสนุนให้ฆ่า
    8. เมื่อเห็นคนจัดงานเลี้ยง  หากเจ้าพูดว่า "ฆ่าตั้งหลายชีวิต  ดีจังเลย"  หรือไม่ก็บุตรธิดาจะแต่งงาน  เลี้ยงอาหารคาว  เจ้าก็เห็นดีเห็นงามด้วย  ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นการสนับสนุนให้ฆ่า  ทำให้ต้องรับผลแห่งกรรมไม่จบสิ้น
    9. การจำหน่ายยาจีน  หากมีส่วนประกอบของสัตว์ผสมอยู่  จะต้องคิดว่า  ยานี้มีไว้สำหรับรักษาโรคเท่านั้น   อีกทั้งไม่ต้องคิดว่าเป็นการทำผิดศีลปาณาติปาตา (ศีลข้อที่ 1)  แต่จงอย่าได้เรียกหรือแนะนำให้เขานำสัตว์เช่น  ไก่  เป็ด  ตะพาบน้ำมาตุ๋นยาเป็นอันขาด   หากเขาสอบถามก็ให้บอกว่า  "ไม่จำเป็น"   พร้อมกับคำอธิบายแนะนำอย่างชัดเจน   มิฉะนั้นแล้ว  ก็จะทำผิดเป็นผู้สนับสนุนการฆ่า   จะต้องแบกรับผลกรรมด้วยตนเอง  เช่นบางครั้งมีคนถูกพวกอันธพาลฆ่าผิดตัว  นั่นก็เป็นผลกรรมจากการสนับสนุนการฆ่าที่สร้างไว้ในหลายภพ หลายชาติที่ผ่านมา
    10. คนที่ไปซื้อยา  หากในยามีส่วนประกอบของสัตว์   จะต้องคิดว่ายานี้มีไว้สำหรับรักษาโรคเท่านั้น  เมื่อหายดีแล้ว  จะต้องหยุดใช้ทันที   อย่านำมาใช้บำรุงร่างกายต่อเนื่อง   และอย่าได้ขอให้นายแพทย์ช่วยเติมยาที่มีส่วนประกอบของสัตว์ลงไป   คนที่ตั้งปณิธานทานเจตลอดชีวิต  อย่าได้กินยาที่มีส่วนประกอบของสัตว์
    11. การขายยาแผนปัจจุบัน   หากมีการจำหน่ายยาชูกำลัง   ยานอนหลับ  และยาอื่น ๆที่มีส่วนผสมของสารเสพติด  จะต้องแบกรับกฎแห่งกรรมนั้น   ในมรรคมีองค์ 8 มีสัมมาอาชีวะ   ฉะนั้นในการเลือกงานทำ  อย่าได้เลือกอาชีพที่มีส่วนสนับสนุนการฆ่า
    12. เมื่อเห็นผู้อื่นกำลังฆ่าสัตว์   อย่าได้มองดูด้วยความยินดี   อย่าได้พูดว่าเนื้อชนิดนี้รสชาติอร่อย   บำรุงร่างกายดี  เมื่อไปเป็นแขกรับเชิญ  อย่าให้เจ้าภาพต้องมาฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเดื่อเจ้าเลย
    13. คนที่ทำการค้า   อย่าได้จำหน่ายมีดของมีคมต่าง ๆที่เป็นการช่วยสนับสนุนการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต   คนที่ประกอบอาชีพนี้   ล้วนมีต้นเหตุผลกรรมสืบเนื่องคงอยู่มาแต่อดีตชาติ
    14. คนที่คิดค้นประดิษฐ์เครื่องจักรกลสำหรับการฆ่าสัตว์    จะไร้ทายาททุกภพทุกชาติ   อย่าได้ออกแบบประดิษฐ์เครื่องจักรกลเหล่านี้
    15. สุราทำให้เลอะเลือน  จิตสับสน   เป็นบ่อเกิดของกามตัณหา   อย่าได้จำหน่ายสุรา  และอย่าได้ซื้อสุราต่าง ๆ  ส่งมอบให้ผู้อื่น  และไม่ต้องดื่มสุรา
    16. อย่าได้จำหน่ายโลงศพ   คนที่จำหน่ายโลงศพ   เมื่อการค้าไม่ดี  ก็มักจะเคาะโลงศพสาปแช่งให้คนตาย  เป็นคนจิตใจไม่ดี   สามารถซื้อหาโลงศพให้คนอื่นได้   แต่อย่าได้มีความคิดอยากให้มีคนตายเกิดขึ้น
    17. อย่าสวมใส่สิ่งของที่ทำมาจากหนังแท้  เช่น  เสื้อผ้า   รองเท้าหนัง   เข็มขัดหนัง   กระเป๋าหนังเป็นต้น    ซึ่งสิ่งของเหล่านี้ราคาค่อนข้างแพงและเป็นสินค้านำเข้า  ยิ่งเป็นหนังแท้ผู้บำเพ็ญธรรมยิ่งไม่ควรใช้   หากซื้อมาโดยไม่รู้ไม่ตั้งใจ  ทางที่ดีควรโยนทิ้งไป   ส่วนหนังเทียมที่ผ่านการผลิตทางเคมีนั้นใช้ได้
    18. เดียว(สัตว์ชนิดหนึ่งของจีน)  เป็นสัตว์ที่มีจิตใจดีงาม  เมื่อมันเห็นคนตกอยู่ในหิมะ  ก็จะใช้ขนบนตัวของมันช่วยให้ความอบอุ่น   และช่วยให้เขาฟื้นขึ้นมา   นายพรานจึงใช้วิธีนี้ไปจับพวกมัน  สัตว์ที่มีจิตใจดีงาม    แต่มนุษย์กลับโหดร้ายได้ถึงเพียงนี้   ผู้บำเพ็ญธรรมอย่าได้สวมเสื้อกันหนาวที่ทำมาจากหนังเดียว   การซื้อก็เท่ากับเป็นการสนับสนุนการฆ่า
    19. การให้คนอื่นยืมเงินก็ต้องระมัดระวัง   หากไม่รู้จักใช้ให้ถูกทาง   ก็จะสามารถก่อบาปกรรมในการสนับสนุนการฆ่าได้โดยไม่รู้ตัว (เช่น  การยืมเงินไปทำแท้ง)
    20. การบริจาคทานต้องใช้ปัญญา  หากว่าบริจาคเงินให้กับศาลเจ้าวัดวาอารามต่าง ๆ  ที่มีการแข่งขันฆ่าหมู   มีการฆ่าสัตว์ทำอาหารเลี้ยงแขก   ก็จะต้องร่วมรับผลกรรมนั้นด้วย   หากไปไหว้พระให้ใช้อาหารบริสุทธิ์ (อาหารเจ) ได้ก็จะดี    หากบริจาคให้พุทธสถาน  นำไปให้คนจำนวนมากมายได้มีโอกาสปฏิบัติบำเพ็ญธรรม   ส่งเสริมคนไว้มากมาย  จะมีบุญวาสนามหาศาล   ดังคำกล่าวที่ว่า  "บำเพ็ญบุญวาสนา ในท่ามกลางทวารไตรรัตน์   ดีที่สุดเมล็ดพันธุ์หนึ่งเมล็ด   สามารถเก็บเกี่ยวได้มากมาย"
    21. อย่าได้จำหน่ายอุปกรณ์จับปลาทั้งหลาย   มิฉะนั้นแล้วปลาที่ถูกจับหรือตกได้ก็จะมาคิดบัญชีกับเจ้า   และมีส่วนร่วมในการสนับสนุนการฆ่าได้
    22. ฆ่าแม่ปลาที่ตั้งไข่   ผลกรรมหนักกว่าการฆ่าปลาทั่ว ๆไป   ไข่ 1 ฟอง คือ 1 ชีวิต
    23. ลดละเลิกการย่างเนื้อ   หมูเป็นสัตว์ที่ยึดติดมาก   มันจะคอยเฝ้าซากศพของมันจนกระทั่งเนื้อนั้นถูกกินหมดหรือเน่าเสีย   จึงจะกลับชาติไปเกิดใหม่    คนที่ฆ่าหมูก็บอกว่า "เจ้าหมูเอ๋ย! เจ้าอย่าได้โทษใครอื่นเลย   เจ้าเป็นอาหารของชาวโลก  หากเขาไม่กินข้าก็จะไม่ฆ่า   ไปทวงหนี้เอากับคนซื้อก็แล้วกัน"   คนซื้อเนื้อหมูก็จะบอกว่า  "เจ้าหมูเอ๋ย   เจ้าอย่าโทษใครเลย   เจ้าเป็นอาหารของชาวโลก  เฮ่อ !  หากเขาไม่ฆ่า  ฉันก็ไม่ซื้อหรอก   ไปทวงหนี้กับคนฆ่าก็แล้วกัน"  จะได้เห็นว่า  ทุกคนก็รู้ว่าการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตนั้นไม่ดี   แต่ก็ยังไม่อาจจะเลิกได้
    24. ปัจจุบันวิชาการแพทย์เจริญก้าวหน้า   โรคประหลาดก็ยิ่งมีมากขึ้น   ซึ่งสามารถอธิบายได้แต่เพียงว่า   เป็นผลแห่งกรรมที่มาจากการเข่นฆ่า
    25. การฉีดยาฆ่าแมลงนั้นไม่ดี   สัตว์เหล่านั้นก็ต้องการมีชีวิตอยู่   ขอเพียงทำความสะอาดบ้านให้ดี   พวกมันก็จะมาน้อยลง   ยิ่งฆ่ามันเท่าไรแมลงก็ยิ่งเพิ่มมากยิ่งขึ้น
    26. กรรมจากการเข่นฆ่ามีหนักมีเบา   ผู้เยาว์ฆ่าผู้อาวุโส  เช่น  ฆ่าพ่อแม่   ฆ่าอาจารย์   ถือเป็นอนันตริยกรรม   ย่อมตกสู่ทุคติภูมิ 3  การฆ่าคนถือเป็นกรรมหนักกว่า    การฆ่าสัตว์ถือเป็นกรรมเบากว่า   คนจิตใจไม่สมประกอบมาฆ่าคน  หรือการฆ่าที่ทำไปเพื่อช่วยเหลืออริยบุคคลหรือผู้คนจำนวนมาก   แรงกรรมนั้นจะเบาบางกว่า   แต่ก็ยังต้องรับผลตอบสนองของกรรมอยู่   คนเรานั้นสามารถบรรลุเป็นพระพุทธะได้ง่ายกว่า      ดังนั้นการฆ่าคนจึงเป็นบาปหนัก   ส่วนสัตว์เดรัจฉานสามารถบรรลุเป็นพระพุทธะได้ยากกว่า   ดังนั้นการฆ่าสัตว์จึงถือว่าเป็นบาปที่เบากว่า
    27. การบำเพ็ญโพธิสัตวมรรค   จะต้องรักษาทุกความคิดที่บังเกิดให้เป็นกุศลจิต   เป็นหนึ่งเดียวกับสรรพสิ่ง  มีคนพูดว่า  "ไก่  เป็ด  เกิดมาเป็นอาหารของคน   ถ้าไม่กินมันแล้ว  มันจะบินวิ่นเต็มท้องฟ้ากระนั้นหรือ?   แต่ว่าเสือกินคน  ยุงดูดเลือด  แล้วคนจะต้องเกิดมาเป็นอาหารของเสือ   และให้ยุงดูดเลือดคนด้วยหรือไม่?"  คนเราจะต้องเอาใจเขามาใส่ใจเรา   จึงจะไม่ทำให้ชีวิตของตนผิดพลาด
    28. เมื่อพระพุทธรูปแตกแล้ว   ก็ต้องเก็บขึ้นมา   เก็บเอาไว้ให้ดี   อย่านำไปเผา  เพราะว่าเผาแล้วกลายเป็นขี้เถ้าก็ต้องเอาไปทิ้งรวมกับขยะ   เป็นการไม่เคารพต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์   พระพุทธรูปเป็นตัวแทนของพระพุทธะ   ดังนั้นอย่าได้ทำพระพุทธรูปแตกร้าวเสียหาย
    29. เมื่อมารดาจะฆ่าไก่ฆ่าเป็ด   ก็ควรที่จะพยายามตักเตือน   หากเตือนแล้วไม่ฟัง  ก็ให้สวดท่องพระนามพระพุทธะ  ท่องคาถาปลดปล่อยชีวิต
    30. หลังจากตั้งปณิธานกินเจแล้ว   สัตว์ต่าง ๆ ที่เลี้ยงไว้แต่เดิมนั้น   ก็ให้เลี้ยงมันต่อไปจนสิ้นอายุขัยไปเอง   แล้วจึงหยุด   ให้ฝังมัน   สวดท่องมนต์คาถาให้มันไปเกิดใหม่   อย่าเอาไปขายให้คนอื่น   และอย่าเอาไปให้คนอื่นฆ่า
    31. หากเคยทำผิดฆ่าคน   ก็จะต้องสร้างบุญกุศลให้เขา   ฆ่าโดยไม่เจตนา   บาปกรรมเบากว่าการฆ่าโดยเจตนา
    32. คนที่กินเจ   จะซื้ออาหารจะต้องถามให้ชัดเจน   หากไม่ระวังกินถูกอาหารคาว  จะต้องกลับมาจุดธูปขอขมากรรม
    33. เถ้าแก่เรียกให้เจ้าไปซื้อเนื้อ   จะปฏิเสธก็ไม่ได้  ก็ให้คิดว่า  เนื้อที่ซื้อนั้นไม่เกี่ยวข้องอะไรกับฉันก็พอ
    34. การจัดงานวันเกิด   อย่าได้ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต   การมาถือกำเนิดของเจ้าก็มิใช่เรื่องที่ยิ่งใหญ่   แต่กลับมาทำให้ชีวิตมากมายต้องจบสิ้นลง   เป็นสิ่งที่ไม่ควรจะกระทำ
    35. บรรพชนสิ้นบุญ  ทางที่ดีควรจะทำอาหารเจ   อย่าได้ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต   ครอบครัวใดที่ไม่ได้ทานเจกันทั้งครอบครัว   ทางที่ดีควรจะกินเจสัก 49 วัน   สามีภรรยาก็ควรจะเว้นมีความสัมพันธ์กัน 49 วัน  ทำเช่นนี้   สามารถจะลดละแรงกรรมของเขาได้
    36. การฆ่าหมูเพื่อนำไปบนบานศาลกล่าว  เท่ากับหาเหาใส่หัว   ยังไม่สามารถแก้ไขสถานการณ์เรื่องราวต่าง ๆได้   กลับก่อบาปก่อกรรมเสียก่อนแล้ว   อย่าได้ทำการบนบานศาลกล่าว   อธิษฐานเชิญพระเชิญเจ้าเข้าทรงสุ่มสี่สุ่มห้า   อย่าได้แสดงหนังปาหี่   ถอดเสื้อผ้าออกกระโดดโลดเต้นเป็นไปตามกระแสสังคม   การกราบไหว้บรรพชนขอเพียงใช้แค่ผลไม้   ธูปหอม   ดอกไม้   น้ำชา   และความเคารพนับถือเท่านั้น    การใช้อาหารเนื้อสัตว์สามชนิดและสุราในการกราบไหว้นั้น   มีแต่จะเพิ่มบาปกรรมให้กับบรรพชน   ค่านิยมที่ไม่ดีก็อย่าไปคล้อยทำตามกระแส
    37. การเสวยสุขคือการลดทอนบุญวาสนา   การรับความทุกข์ก็คือการชำระบาปกรรม   หลังจากที่ตั้งใจถือศีลกินเจ   แล้วร่างกายก็ยังไม่แข็งแรงนั้น    ก็เป็นเพราะกรรมแห่งการฆ่าตั้งแต่อดีตยังไม่สิ้นสุดลง   เมื่อเห็นผู้อื่นกิจการงานไม่คล่องตัว   ร่างกายไม่แข็งแรง  ก็อย่าได้พูดว่าวิบากกรรมของเขาหนักหนาสาหัส  เพราะจะเป็นการบั่นทอนโพธิจิตของผู้อื่น     ซึ่งก็ถือว่าผิดศีลละเว้นการฆ่า   ควรใช้คำพูดแสดงความห่วงใย   คำพูดอ่อนหวานปลอบประโลมใจเขาจึงจะดี
    38. ผลของการกระทำผิดปาณาติปาตศีล
    1) ตกสู่ทุคติ 3 (เดรัจฉาน  เปรต  นรก)
    2) หากกำเนิดในภพมนุษย์   จะเป็นผู้มีโรคมากอายุสั้น  คนที่มีโรคภัยไข้เจ็บมาก   จะต้องปล่อยสัตว์อยู่เสมอ   การปล่อยสัตว์มีสองชนิด   หนึ่งคือการปลดปล่อยเวไนย์ภายนอก   สองคือการปลดปล่อยเวไนย์ภายใน   นั่นก็คือการปลดปล่อยความยึดมั่นถือมั่นในจิตใจ   ปลดปล่อยความคิดทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดขึ้น   ฉะนั้นเวไนย์กำเนิดมาจากความกลัดกลุ้มทั้งปวง
    3) จะสัมผัสได้ว่าสิ่งต่าง ๆภายนอก   ล้วนมีแสงสว่างน้อยนิด  เช่น  ยิ่งทำธุรกิจก็ยิ่งขาดทุน  ขาดซึ่งบุญสัมพันธ์กับบุคคลในสังคม
    4) จิตใจมักจะเต็มไปด้วยพิษร้าย  เกี่ยวพันไปทุกชาติทุกภพไม่สิ้นสุด  เมื่อฆ่าหมูนานวันเข้าใบหน้าก็จะละม้ายคล้ายหมู   ฆ่าไก่นานวันเข้าใบหน้าก็จะคล้ายไก่   ในมโนวิญญาณจะบังเกิดความคิดแห่งการฆ่าขึ้นเสมอ
    5) จิตใจมีความหวาดกลัว   เมื่อเจ็บไข้ได้ป่วยหรือเดินอยู่ในทางมืดเปลี่ยว   ก็มักจะกลัวโน่นกลัวนี่เสมอ
    6) มักจะฝันร้าย
    7) เวไนย์ชิงชัง   ผู้คนรังเกียจ   ไม่มีบุญสัมพันธ์
    8) ในบั้นปลายมีความหวาดกลัวว่าจะตายไม่ดี   ก่อกรรมการฆ่าไว้มากมาย   ก่อนสิ้นใจวิบากกรรมจะปรากฏขึ้นเบื้องหน้า   เหมือนกับบัญชีธนาคารที่คิดตอนปลายปี   ขณะจะสิ้นใจจะร้องด้วยความหวาดกลัว
    39. ผลกรรมจากการละเว้นการฆ่า
    1) บำเพ็ญอภัยทาน  ทำให้สัตว์ไม่เกิดความรู้สึกหวาดกลัว
    2) หากเกิดในภพมนุษย์   ก็จะไม่ค่อยมีโรคภัยไข้เจ็บอายุยืนยาว
    3) จิตเมตตาเพิ่มพูน  ความกลัดกลุ้มลดน้อยลง
    4) ลดจิตโทสะลง  ขจัดความทุกข์ใจ
    5) เวไนย์เข้าใกล้  ภูตผีเทพยดาให้การคุ้มครอง   ทุกครั้งที่มีการถือศีล ก็จะมีเทพยดาให้ความคุ้มครอง
    6) ไม่ฝันร้าย   หลับสบาย
    7) ในอนาคตชาติจะร่ำรวยสุขสบาย
    8) ขจัดปมแห่งความอาฆาตพยาบาท   ผูกบุญสัมพันธ์ให้กว้างขวาง
    9) รักษาศีล 5 สร้างบุญบารมี   จุติในแดนสุขาวดี

ศีลข้อที่ 2
อทินนาทานา    เวรมณีศีล (ละเว้นจากการลักทรัพย์)
1.ปัจจุบันนี้สังคมวุ่นวาย   โจรผู้ร้ายก่อการอุกอาจ   นักการศึกษา   ผู้สอนศาสนาต่างจะต้องร่วมมือกัน  แบกรับหน้าที่ในการอบรมสั่งสอนกันบ้าง
2.การลักทรัพย์  รวมถึงการขโมย   การปล้นชิง (การใช้กำลังเข้าแย่งชิง  การหลอกลวง  การข่มขู่   เช่นการรีดไถเรียกค่าคุ้มครองตามที่สาธารณะ)   การฉกฉวยหยิบเอา(เช่น  ผู้อื่นส่งของมาโดยไม่มีหลักฐาน/เอกสารใดแนบมา  ถือโอกาสเอาไป   แล้วหาข้ออ้างไม่ยอมรับ) การขู่เข็ญแบล็ดเมล์ (เจตนาใช้เล่ห์เหลี่ยมเพื่อให้ได้ทรัพย์นั้นมา)  เป็นต้น
3.สิ่งที่ผู้บำเพ็ญในพุทธสถานมักจะกระทำผิดได้ง่ายคือ
    1)เมื่อมีทุกข์ร้อนมีปัญหา   ก็มาพุทธสถานจุดธูปกำใหญ่อ้อนวอนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์   ใช้ธูปของพุทธสถานเท่ากับว่าบุญกุศลยังไม่ได้ทำ  ก็ลักขโมยของพุทธสถานเสียแล้ว   พึงรู้ไว้ว่า   ประธานพุทธสถานคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์  ไม่ใช่อาจารย์ถ่ายทอดธรรม  จะจุดธูปกำใหญ่   ทางที่ดีควรจะซื้อมาเอง   ยอมเสียเปรียบให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์  แต่อย่าได้เอาเปรียบสิ่งศักดิ์สิทธิ์เลย
    2)ใช้โทรศัพท์ของพุทธสถานส่วนรวม  ควรจะชำระเงินด้วยตนเอง
    3)แม่ครัวในห้องครัว  ขณะปรุงอาหาร  จะลองชิมสักคำก็ไม่เป็นไร  แต่จะละโมบกินหลายคำไม่ได้   สมบัติส่วนรวมของพุทธสถาน  เป็นของที่ได้รับบริจาคมาจากผู้มีจิตศรัทธาทั่วไป   จึงถือเป็นทรัพย์สินของพุทธสถาน
    4)ซื้อของมาไว้ที่พุทธสถานแล้ว   ก็อย่าได้หิ้วเป็นถุงเล็กถุงน้อยกลับไป   เมื่อเลิกชั้นประชุมแล้วจึงจะสามารถนำอาหารที่เหลือกลับไปได้   เมื่อเสร็จงานค่อยนำสิ่งของสดใหม่มาให้พุทธสถาน    ถ้าสิ่งของนั้นเป็นสมบัติส่วนตัวก็ไม่เป็นไร
    5)ผลไม้ที่ซื้อมาเพื่อถวายพระ   ไม่ควรนำมาทานก่อนถวายพระ   ของถวายพระทั้งหมดล้วนเป็นของสิ่งศักดิ์สิทธิ์
    6)เงินที่ญาติธรรมบริจาคมา  เขามีความตั้งใจอย่างไร   ก็ต้องนำไปใช้ทางนั้น  เขาบริจาคเพื่อใช้ซื้อธูป  ก็ต้องนำมาซื้อธูป   บริจาคเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายรายเดือน  ก็ต้องนำมาใช้เป็นค่าใช้จ่ายรายเดือน
    7)อุปกรณ์ทำความสะอาดในพุทธสถาน  จะต้องใช้ให้ถูกประเภท  ทั้งยังต้องช่วยรักษาความสะอาด  เช่น  ไม้ถูพื้นในห้องพระก็ไม่ควรนำไปใช้ที่ห้องครัว  ห้องน้ำ  หรือห้องนอน
    8)ดอกไม้และธูปที่ใช้ถวายพระ  อย่านำมาดม  เมื่อดมแล้วก็ไม่บริสุทธิ์แล้ว   ดอกไม้และธูปนี้มีไว้ถวายพระ  มิใช่ถวายคน  จะหอมหรือไม่หอม   สิ่งศักดิ์สิทธิ์จะรู้เอง  เจ้าไม่ต้องไปดม
4. เมื่อทำงานเป็นพนักงานของรัฐ  อย่าได้นำเอาสาธารณสัมบัติ  เช่น ซองจดหมาย   กระดาษจดหมายกลับบ้าน   มิฉะนั้นจะถือว่าลักขโมยสมบัติของหลวง  การทำงานในบริษัทก็เช่นกัน
5.  การสอนคนให้หลีกเลี่ยงภาษี  สอนวิธีใช้โทรศัพท์โดยไม่เสียเงิน   สอดจดหมายไว้ในพัสดุภันฑ์   หลีกเลี่ยงไม่ซื้อตั๋วรถตั๋วเรือ   สิ่งเหล่านี้ล้วนถือว่าเป็น "การลักขโมยสมบัติชาติ"
6.  การซื้อของควรจะเขียนใบเสร็จรับเงิน   หากทั้งสองฝ่ายได้ทำการตกลงซื้อขายกันในราคาที่ถูกกว่าโดย   ไม่ออกใบเสร็จรับเงิน  ถือว่าทั้งสองฝ่ายร่วมกันลักขโมยสมบัติชาติ
7.  พฤติกรรมที่ไม่จัดอยู่ในขอบข่ายของการลักทรัพย์
    1)ตนเองเข้าใจว่าตนได้หยิบถือของตนอยู่เช่น   ตนเองมีร่มคันหนึ่ง  แต่ว่าในขณะที่หยิบใช้นั้นกลับหยิบผิดเอาของผู้อื่นไป
    2)ความคิดเข้าข้างตนเอง....เข้าใจผิดคิดเอาเองว่าของสิ่งนั้นเขามอบให้ตนเองจึงหยิบเอาไป
    3)มีความเข้าใจผิดว่า  ของสิ่งนั้นคนอื่นเขาไม่เอาทิ้งแล้ว   จึงได้เก็บกลับมา
    4)สิ่งของยืมใช้ชั่วครู่   การยืมโทรศัพท์หรือปากกา  เมื่อใช้เสร็จนำกลับคืนที่เดิม
    5)มีความคิดว่าสนิทกันไม่เป็นไร   เช่น   อยู่ในบ้านของเพื่อนสนิท  ก็เปิดตู้เย็นหยิบของในตู้เย็นมากิน   ทำเหมือนกับเป็นบ้านของตนเอง   ถ้าหากมิใช่ว่าสนิทสนมกันมากแล้ว   พฤติกรรมเช่นนี้ก็เท่ากับว่าเป็นการ "มักง่าย"  ความมักง่ายจะทำให้เราเสื่อมเสีย
8. การลักขโมยยังมีการแบ่งกรรมหนักเบาต่างกัน... การหยิบของในอาณาจักรธรรม  ความผิดบาปนั้นจะหนักหนา  ต่อให้เป็นเข็มหนึ่งเล่ม  ด้ายหนึ่งเส้นก็ไม่ควรที่จะหยิบฉวยโดยพลการ   เพราะว่าสิ่งของเหล่านี้ถือว่าเป็นของญาติธรรม   มิได้เป็นของส่วนบุคคล   ในทางกลับกัน   การบริจาคในอาณาจักรธรรม   สามารถยังประโยชน์แก่ผู้บำเพ็ญปฏิบัติได้  บุญวาสนานั้นยิ่งใหญ่มาก   สามารถครอบคลุมไปทั่วทศทิศโลกธาตุ
9. เมื่อบริจาคให้ไปแล้วก็ไม่ควรมีจิตยึดมั่น   เรื่องราวที่เจ้าทำสิ่งศักดิ์สิทธิ์ล้วนมองเห็น  ไม่ต้องไปคิดต่อยอด  และก็ไม่ต้องแกะสลักชื่อไว้บนเสาของอาราม  (ผู้คนกราบไหว้ชื่อของเจ้าทุก ๆ วัน  ต่อให้มีบุญกุศลยิ่งใหญ่เพียงใดก็ถูกกราบไหว้จนหมดสิ้นแล้ว)   คนเราเมื่อปรารถนาที่จะหลุดพ้นจากการผูกมัดของวิบากกรรม    ก็จำเป็นต้องปล่อยวางจิตที่ยึดมั่นลง   เหมือนกับลูกศรที่ถูกยิงขึ้นฟ้าไปแล้ว  ก็จะต้องสามารถเอาชนะแรงดึงดูดของโลกให้ได้
10.  การหลอกเอาเงินผู้อื่น   จะต้องกลับชาติไปเกิดเป็นสุนัข (ช่วยเขาเฝ้าบ้าน  เหมือนกับคนรับใช้)   หรือเกิดเป็นหมู (ครั้งหนึ่งสามารถขายได้หมื่นกว่าหยวน)  หลอกเขามาเท่าไรก็จะต้องกลับชาติไปชดใช้มากเท่านั้น     ใช้จนหมดสิ้นเป็นอันยุติ   การปล่อยดอกเบี้ยสูง ๆก็ถือว่าเป็นพฤติกรรมของการลักขโมยเหมือนกัน
11. สามารถมากินข้าวที่พุทธสถานได้   กระดาษชำระ  ยาสีฟัน   ของใช้ประจำวันก็สามารถใช้ได้   แต่ก็ไม่ควรจะมีจิตใจคับแคบ  ให้หมั่นบริจาคบ้างก็แล้วกัน
12. เก็บเงินได้ระหว่างทาง   แล้วนำมาทำบุญสร้างความดีก็ไม่ถือว่าผิดศีล  แต่ไม่ควรนำมาใช้เอง
13. ในศีล 5 ข้ออทินนาทานาศีลนั้น  ละเอียดอ่อนที่สุด   ส่วนกฎเกณฑ์ของสมณะนั้นมากมายกว่า  จึงไม่ขอกล่าวละเอียดในที่นี้
14. ผลกรรมของการละเมิดอทินนาทานาศีล
    1)ตกสู่ทุคติภูมิ 3
    2)หากว่าเกิดในภพมนุษย์  จะยากจนข้นแค้น   มีสมบัติทรัพย์สินมากมายแต่ไม่สามารถใช้ตามใจได้
    3)อาศัยอยู่ในบ้านกระต๊อบมุงจาก   ต้องประสบกับอุทกภัย  อัคคีภัย  ลูกเห็บ  น้ำค้างที่เป็นภัยต่าง ๆ
    4)คนอื่นทำของสูญหาย   แต่มุ่งสงสัยที่ตน   คนอื่นเขาทำข้าวของสูญหาย  กลับสงสัยว่าเขาเป็นคนขโมยไป
    5)ต้องเผชิญกับความทุกข์ทางกาย  จิตใจต้องทุกข์กับความกังวลใจ
15. กุศลกรรมของการรักษาอทินนาทานาศีล
    1)ทรัพย์สมบัติเพิ่มทวีโดยไม่รั่วไหล
    2)มีคนมากมายห่วงใยคิดถึงตลอด   เชื่อถือศรัทธาไม่สิ้นสุด
    3)ชื่อเสียงดีงามขจรไกล   ทศทิศต่างสรรเสริญ
    4)ไปไหนก็ไม่ต้องกลัวใคร  ไม่มีใครกล้ารังแก
    5)กายใจสุขสงบ   สิ้นบุญกลับสวรรค์


ศีลข้อที่ 3
กาเมสุมิจฉาจารา   เวรมณีศีล (ละเว้นจากการประพฤติผิดในกาม)
   
    1. อิ่มหมีพีมันแล้วเกิดกามตัณหา   ความชั่วช้ามีกามเป็นเหตุ   ชีวิตที่เพียบพร้อมด้วยวัตถุกลับนำมาซึ่งผลตรงกันข้าม  คนโบราณกินอยู่ใช้ชีวิตแร้นแค้น  กลับมีชีวิตที่ยืนยาวกว่า   คนในปัจจุบันกินหมดทุกประเภท   กลับไม่เห็นจะมีสุขภาพดีขึ้น    กินอิ่มท้อง  กิเลสตัณหานานาก็ตามมา   บวกกับระบบการสื่อสารเจริญรุดหน้า    จนก่อให้เกิดมลภาวะไปทั่ว   ทำเรื่องชั่วช้าเลวทราม  อยู่ในโลกียวิสัย  นับว่าช่างน่าเวทนายิ่งนัก   ในสมัยก่อนท่านไป๋เล่อเทียนถามพระเถระเหนี่ยวฉาวว่า   นอนอยู่บนต้นไม้จะไม่ตกลงมาหรือ?   เขากลับคิดไม่ถึงว่า  เขาอยู่ท่ามกลางโลกียวิสัยที่ลึกเป็นหมื่น ๆโยชน์นี้จะตกเข้าไปในวังวนนี้หรือไม่?
    2. มีคนเขากินจนตาย  เล่นจนตาย  กลับไม่มีสักคนที่จะมาบำเพ็ญจนตาย
    3. ในจักรวาลนี้   สิ่งที่ผูกมัดคนเราแน่นหนาที่สุดคือ "กาม"  มันเป็นสิ่งที่ร้ายกาจยิ่งกว่าสารพิษใด ๆที่มีอยู่   หากว่าละเลิกตัดไม่ได้แล้ว  เท่ากับว่าทุกชาติทุกภพยังต้องเวียนว่ายต่อไป
    4. เหล่าพระพุทธเจ้าในสามโลกธาตุ   มองเรื่องกามตัณหาเป็นเรื่องที่โสมมที่สุด   ในเมื่อบำเพ็ญในโพธิสัตวมรรคแล้ว  เราควรที่จะควบคุมตนเองให้ดี   ศีลกาเมมิใช่ว่าจะต้องตัดขาดจากความสัมพันธ์ฉันท์สามีภรรยา   ความสัมพันธ์ฉันท์สามีภรรยาถือว่าเป็นสัมมากาเม    ซึ่งจะต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขของจริยธรรม   นอกเหนือจากสามีภรรยาแล้ว  การมีความสัมพันธ์ของหญิงชายล้วนถือว่าเป็นการประพฤติผิดในกามทั้งสิ้น   เช่นการซื้อขายด้วยเงินทอง   การคบชู้ต่าง ๆเป็นต้น   อันเป็นต้นตอของปัญหาทางสังคมทั้งสิ้น  ฉะนั้นควรที่จะระงับไว้
    5. เมื่อเกิดกามตัณหาขึ้น   ญาติสนิทมิตรสหายก็ไม่คำนึงถึง   ล่วงละเมิดผิดต่อหลักโครงสร้าง  ความสัมพันธ์   หลักจริยธรรม  คุณธรรมและกฎหมาย    เหมือนกับผู้บำเพ็ญในป่าไพรในสมัยโบราณนั้น   ถึงกับมีความสัมพันธ์ร่วมกับลิงค่างและแพะทีเดียว
    6. กามตัณหาเหมือนกับไฟ   เมื่อเผาไหม้แล้วยากที่จะดับลงได้   หากว่าจะต้องเยียวยารากเหง้ามัน   จะต้องเริ่มจากการชำระจิตใจมนุษย์    สร้างความสงบจากภายในจิตใจเสียก่อน  ยามปกติแล้วอย่ากินอิ่มจนเกินไป (อิ่มแล้วเกิดกามตัณหา)   ทางที่ดีที่สุดเวลาอยู่ในบ้านควรจะถอดรองเท้าเดินบ้าง   เท้าติดพื้นรับความเย็นสามารถลดทอนความร้อนและอารมณ์   คิดจะออกห่างจากกามตัณหา   ต้องหาทางหลีกเลี่ยงจากสิ่งยั่วยุ    โดยเฉพาะสิ่งที่เป็นตัวชักนำเล้าโลม   ประเทืองอารมณ์ทั้งหลาย  เช่นนิตยสาร  วารสาร  นิยาย  ภาพยนตร์   สถานบันเทิงโลมโลกีย์เป็นต้น    ทางที่ดีอย่าให้สายตาเราไปเปรอะเปื้อนสิ่งเหล่านี้   โดยเฉพาะผู้ชายทั้งหลายที่ชื่นชอบมองสิ่งเหล่านี้   เวลาตายไป   ดวงตาจะเน่าก่อน   ยามปกติให้หมั่นดูหนังสือธรรมะ   สวดท่องพระสูตร    เมื่อเกิดอารมณ์ใคร่ขึ้นมาเมื่อใดให้รีบสวดท่องพระสูตร   เพื่อจะไปสยบมัน   เช่นนี้แล้วก็จะค่อย ๆลดอำนาจของมันลงได้   การตัดขาดจากกามตัณหาก็เหมือนกับการตัดเส้นเอ็นวัน   เป็นสิ่งที่ยากเย็นที่สุด
    7.ปุถุชนสามัญยากที่จะปฏิเสธกามตัณหา   แต่ก็ต้องควบคุมมัน   สามีภรรยาถือว่าเป็นพื้นฐานของหลักโครงสร้างฟ้าดิน   ทั้งคู่จะต้องให้เกียรติเคารพซึ่งกันและกัน    ยามปกติที่มีความสัมพันธ์ด้านจิตใจ   ถ้าหากรู้จักแต่ปลดปล่อยเสพสมแล้ว   ก็ไม่ต่างอะไรกับสัตว์เดรัจฉาน   ในวันขึ้น 1 ค่ำ  15  ค่ำ  วันประสูติพระโพธิสัตว์   พระอริยเจ้า  สามีภรรยาไม่ควรที่จะมีความสัมพันธ์กัน   เมื่อบรรพชนหรือคนในครัวเรือนสิ้นบุญ   จะต้องถือศีลไว้ทุกข์  49  วัน
    8. ความเกี่ยวพันธ์ของสามีภรรยา   ควรที่จะคิดว่ามันเป็นความสุขเพียงสั้น ๆ  มิใช่เป็นความสุขที่ยาวนานตลอดกาล   ควรที่จะคำนึงถึงสุขภาพแข็งแรงเป็นสำคัญ   หันมาบริหารดูแลครอบครัวนี้ให้ดี   ซึ่งกามเป็นเพียงส่วนหนึ่งของชีวิต     มิใช่เป็นสิ่งสำคัญอันดับหนึ่ง   มนุษย์ต้องรักษาจริยธรรม   มีจริยธรรมพร้อมแล้ว  จึงจะรักษากฎระเบียบของครอบครัวได้
    9. กามตัณหาถือว่าเป็นรากเหง้าของการเกิดตาย   หากว่าปมนี้ตัดไม่ขาด    ก็จะตกอยู่ในวัฏฏะเกิดตายนิรันดร์กาล
    10. คนที่ยังไม่แต่งงาน   ขอให้ดูแลครอบครัวของตนเองให้ดี   ต่อไปจึงจะสามารถบริหารดูแลอีกครอบครัวหนึ่งได้   สามีภรรยา  พ่อแม่  คณาญาติ   สามารถอยู่ร่วมกันได้เพราะมีบุญปัจจัยสัมพันธ์กัน   และควรจะคิดหาหนทางสร้างบุญสัมพันธ์นี้ให้สมบูรณ์     อย่าคิดว่ามันเป็นสัมภาระที่จะต้องสลัดทิ้ง  เพื่อหลีกหนีมันท่าเดียว   หากว่าชาตินี้เรายังไม่สร้างให้สมบูรณ์แล้ว   ชาติติ่ไปยังต้องมาเกี่ยวพันเป็นพันธุกรรมอีก
    11. งานแต่งงานควรเป็นไปตามเหตุปัจจัย   ไม่ควรที่จะชื่นชมสรรเสริญงานสมรสของผู้อื่นเขา   ว่าการแต่งงานนั้นดีอย่างไร   และไปชักนำคนอื่นเขาให้มาแต่งงาน   และก็อย่าได้ไปคัดค้านงานแต่งงานของคนอื่น   คนอื่นเขาก็มีเหตุปัจจัยของเขาที่จะต้องไปบรรลุ  ไปดำเนิน   จะต้องคล้อยตามเหตุปัจจัยของเขาให้เป็นไปตามธรรมชาตินั่นล่ะดีแล้ว
    12. อย่าได้กล่าวโอ้อวดในความสุขสมบูรณ์ของชีวิตสมรสของเจ้าต่อหน้าคนที่หย่าร้าง
    13. อาจารย์ถ่ายทอดธรรมเป็นตำแหน่งที่บริสุทธิ์   ควรที่จะตัดขาดจากความสัมพันธ์ของชายหญิง   และก็ไม่ควรที่จะเป็นพ่อสื่อแม่ชัก   และเป็นพยานงานสมรสให้ผู้อื่น
    14. อย่าได้ทำให้อาณาจักรธรรมเป็นสถานที่แสวงหาความรัก   เพราะว่าพุทธสถานเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์   บริสุทธิ์   หากว่าทั้งคู่มีบุญปัจจัยจริง   สามารถไปมาหาสู่กันได้ในภายนอกสถาน
    15. หนุ่มสาวชายหญิงจะต้องรักเนื้อสงวนตัว   งานแต่งงานจะต้องผ่านความเห็นชอบจากบิดามารดา   หลังจากผ่านพิธีสมรสแล้ว  ถึงจะเป็นสามีภรรยาที่ถูกต้องตามครรลอง  ไม่ควรที่จะมีความสัมพันธ์ก่อนแต่งงาน
    16. กามเป็นสิ่งที่ผูกมัดคนแน่นหนาที่สุดในจักรวาล   หากว่ายังตัดไม่ขาด   ก็สามารถใช้วิธีการเพ่งพิจารณาตามคติพุทธว่า   ร่างกายของคนเรานั้นไม่บริสุทธิ์   มีขี้มูก  ขี้ตา  อุจจาระ   ปัสสาวะ...เป็นต้น   ทุกส่วนล้วนโสมม   สำหรับสตรีในโลกีย์          ให้พิจารณาว่าหล่อนเป็นพ่อแม่พี่น้องของเราในอดีตชาติ  (เวไนย์สัตว์ในคติ 6 ทั้งหลาย  ล้วนเป็นพ่อแม่เราในอดีตชาติ   จะล่วงละเมิดไม่ได้)   พฤติกรรมกามตัณหาที่แลกด้วยเงินตรา  ถือว่าเป็นสิ่งที่ขาดคุณธรรมที่สุด
    17. ผู้บำเพ็ญปฏิบัติไม่ควรที่จะกระทำในสิ่งที่กระตุ้นอารมณ์   เช่น  การเลี้ยงสุนัขตัวผู้กับสุนัขตัวเมียให้ผสมพันธุ์กันเพื่อจะได้ลูกสุนัข
    18. การขี่ม้าจะก่อให้เกิดการกระตุ้นกามารมณ์ได้ง่าย   และก็เป็นการทารุณต่อสัตว์   ผู้บำเพ็ญปฏิบัติอย่าได้ไปขี่ม้าในสนามม้าเด็ดขาด
    19.ผลกรรมที่ผิดต่อกาเมสุมิจฉาจาราศีล...
    1) จะตกเข้าสู่ทุคติภูมิ 3   เพราะว่านั่นเป็นพฤติกรรมของสัตว์เดรัจฉาน   ผิดต่อระบบโครงสร้างมนุษย์
    2) หากเกิดในภพมนุษย์   จะมีภรรยาที่ไม่อยู่ในครรลอง...ภรรยาของเพื่อน  ไม่ควรจะล่อลวง  มิฉะนั้นแล้วต่อไป  ภรรยาและลูกสาวก็จะถูกผู้อื่นเขาล่อลวง   อย่าได้ไปทำลายรังนก   รังมดเขา   มิฉะนั้นชาติต่อไปจะต้องถูกคนอื่นเขามาทำลายเข่นฆ่าครอบครัวเรา
    3) กามตัณหาเป็นเหตุ   เกิดตายเป็นผล...   การบำเพ็ญในโพธิสัตวมรรค   ก่อนอื่นจะต้องฝ่าด่านนี้ให้ได้  พระโพธิสัตว์ยำเกรงต่อเหตุ   หากว่ายังติดในกามตัณหา   ก็เท่ากับว่าเหตุปัจจัยนี้ยังคงผูกพันกันต่อไปอย่างต่อเนื่อง   ไม่สามารถหลุดพ้นไปจากสามโลก   พ้นจากเกิดตาย   แต่การจะตัดขาดจากความสัมพันธ์ฉันท์สามีภรรยาชายหญิง  ที่มิใช่เรื่องง่าย   ขอเพียงสามารถรักษาศีลได้   รักษามนุษยธรรมไว้ให้ดี   แต่งงานอย่างถูกต้องตามครรลองครองธรรม   เพราะว่า "กาม"  เป็นปรากฎการณ์ทางธรรมชาติของร่างกายคนเรา   การข่มมันมิสู้ชักจูงมัน   เพื่อจะได้ไม่ต้องเป็นเหตุทำให้กายภาพเกิดการผิดเพี้ยนไปจากเดิม
    20. ผลกรรมของการรักษากาเมสุมิจฉาจาราศีล...
    1) รากเหล้าทั้งมวลสมดุล  ไม่หวั่นไหว   มีฌานสมาธิแข็งแกร่งขึ้น   ปัญญาเพิ่มพูน
    2) (ผู้ที่รักษาศีลกาเม)  หากว่าเกิดในภพมนุษย์   ทั้งพ่อแม่  ญาติวงศา  ภรรยา  ลูกหลานจะบริสุทธิ์ไม่วุ่นวาย   ลูกหลานกตัญญูมีมิตรจริงใจ   ไม่เกิดเรื่องเสื่อมเสีย   ทำให้ชีวิตเหล่าเวไนย์ทั้งหลายไร้มลทิน
    3) ทั้งเทพมนุษย์ต่างเทิดทูน   มีคำสรรเสริญทั่วสารทิศ
    4) (ผู้ที่ระงับสัมมากาเม)  ต่อไปจะสำเร็จเป็นพระพุทธะ  รูปโฉมงามสง่า
    5) หลุดพ้นจากเกิดตาย  ได้มรรคผลโพธิในเร็ววัน

ศีลข้อที่ 4
มุสาวาทา  เวรมณีศีล(ละเว้นจากการพูดเท็จ)

    1. มุสาวาจารวมถึงวาจาหยาบคาย  โป้ปด   นินทาและเพ้อเจ้อ 
    2. คนที่สามารถกล่าววาจาที่มีวาทศิลป์เป็นเลิศได้  และยังสามารถใช้คำพูดส่งเสริมคนได้  จึงจะถือว่าเป็นนักพูดที่ประสบความสำเร็จ   จะต้องมีคารมคมคาย   แจกแจงได้อย่างไม่ติดขัด   ซึ่งบุคคลจะต้องรักษาศีลมุสาวาทาถึงสามชาติเป็นอย่างน้อย
    3. การกล่าววาจามุสามากเกินไป   จะส่งผลกรรมให้เป็นใบ้หรือพูดจาไม่ชัด
    4. คนทำการค้ามีโอกาสใช้มุสาวาจามากที่สุด   การบำเพ็ญรักษาศีลข้อนี้  ค่อนข้างยาก   ทางที่ดีควรจะคิดว่าเงินที่เราหามาได้นั้น   ถ้าอยู่ในมือของคนอื่นเขาจะต้องนำเงินนี้ไปดื่มกินมั่วอบายมุข   เราเอากำไรส่วนนี้มาทำบุญบริจาคแทนเขา    (จะต้องบริจาคทานกันจริง)   จึงจะสามารถชดเชยความผิดของการใช้มุสาวาจาได้
    5. ผู้ชายมักจะใช้วาจาไพเราะอ่อนหวาน   เพื่อมาปลอบประโลมภรรยา   การทำเช่นนี้เรียกว่า  ภาษารัก   ไม่นับว่าเป็นมุสาวาจา  แต่ถ้าใช้กับหญิงอื่น  เรียกว่า  "ปากหวาน" (เป็นมุสาวาจาที่ไพเราะ  งดงาม  หยดย้อย)
    6. นักการเมืองในขณะที่หาเสียงต้องเชือดคอไก่   ตั้งสัตย์ปฏิญาณ   ใช้วาจาคำพูดที่สะใจคนฟัง   เพื่อที่จะชิงชัยสร้างชื่อเสียง   เพื่อรักษาสถานภาพของตนไว้   นักการศึกษาควรมีหน้าที่ชำระจิตใจคน  กลับเดินเข้าสู่เส้นทางของนักธุรกิจ  ดารานักร้องใช้วาจาเกินจริง   เพื่อสร้างภาพให้กับตนเอง  สิ่งเหล่านี้ล้วนจะต้องเผชิญกับผลกรรมของมุสาวาจาทั้งสิ้น
    7. การโปรดคนจะต้องมีบริการหลังการขาย   จะต้องใช้ความสัตย์จริง (สัจธรรม)   การแจกแจงตามภววิสัย   ในการส่งเสริมผู้คน   อย่าได้พูดว่า "เมื่อคุณรับธรรมหรือสร้างพุทธสถานแล้ว  ความเจ็บป่วยของคุณก็จะหาย"  เป็นต้น
    8. มีความสามารถเพียงใดก็ให้พูดเท่านั้น   อย่าใช้คำพูดเกินศักยภาพของตน   นักปราชญ์กล่าวไว้ว่า  "ใช้มุสาวาจาคำหนึ่ง   จะต้องใช้มุสาวาจาเป็นสิบคำมาประกอบอ้างอิง"   การใช้มุสาวาจาบ่อย ๆจนเกิดเป็นนิสัยเป็นสันดาน   ก็จะกลายเป็นว่าชอบใช้คำพูดมุสา  ทำให้เคราะห์มาจากปาก   ฆ่าคนไม่เห็นเลือด
    9. ยามว่างไม่มีกิจอันใด   ก็นั่งนินทาผู้อื่น  ใช้คำพูดที่ไม่สร้างสรรค์   เป็นการทำให้พลังชีวิตสูญเปล่าโดยใช่เหตุ
    10. อย่าไปเปิดเผยความลับส่วนตัวของผู้ใด    หรือใช้คำพูดที่ทำให้ผู้อื่นเสียหายและเจ็บช้ำน้ำใจ   ซึ่งสตรีมักทำผิดได้ง่าย   เมื่อสิ้นบุญไป  ปากจึงเน่าเปื่อยก่อนส่วนอื่น ๆ
    11. มุสาวาทาศีลเป็นศีลวินัยที่รักษาค่อนข้างยากข้อหนึ่ง    อย่าใช้คำพูดที่ส่อไปในทางทำลายเกียรติของผู้อื่น   อย่าใช้คำพูดที่ทำให้ผู้อื่นอารมณ์เสีย   อย่าพูดจาโป้ปดมดเท็จจนเกินไป   อย่าพูดจาทำลายความสมานฉันท์ระหว่างสามีภรรยาของผู้อื่นโดยเด็ดขาด   เรื่องของสามีภรรยาเป็นเรื่องส่วนบุคคล   อย่าได้ไปยุ่งเกี่ยว   มิฉะนั้นแล้ว  ตนเองจะย่ำแย่ในภายหลัง   พยายามเก็บลิ้นของตนไว้ข้างใน   อย่าปล่อยมันออกมาสู่ภายนอก   ควรใช้พูดสร้างสรรค์เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นบ้าง   เช่น  คำพูดที่ดีงาม  คำพูดที่สร้างสรรค์
    12. การใช้คำพูดที่เป็นกุศลไม่ทำร้ายผู้ใด   จะสามารถผูกบุญสัมพันธ์อย่างกว้างขวาง
    13. อาชีพของคนที่อาศัยปากในการทำมาหากินดังต่อไปนี้  ที่ผู้บำเพ็ญไม่ควรจะทำ...
    1) ทนายความ  อัยการ...  คนโบราณกล่าวไว้ว่า   "ชาติหนึ่งเป็นเจ้าขุนมูลนาย   เก้าชาติต้องเป็นวัวเป็นควาย"   คนที่ประกอบอาชีพเหล่านี้   แค่ใช้คำพูดคำหนึ่งก็สามารถพิพากษาให้คนเป็นคนตายได้   ควรที่จะระมัดระวังในเรื่องภววิสัย   ความยุติธรรม  อย่าได้มีพฤติกรรมที่ฉ้อฉล   หากใช้อำนาจที่มีอยู่โดยไม่ชอบธรรม   ก็ง่ายต่อการทำลายชีวิตผู้คนได้
    2) โหราจารย์...คนที่เป็นหมอดูมักจะใช้คำพูดประเภทนี้ว่า ..."ถ้าคุณไม่ทำเช่นนั้นเช่นนี้  คุณก็จะต้องประสบเคราะห์ภัยอย่างโน้นอย่างนี้..."   คำพูดนี้เป็นคำพูดที่เลวร้าย  คนที่ประกอบอาชีพเหล่านี้  จะต้องใช้คำพูดที่ละมุนละไม   ให้ข้อเสนอที่ดี ๆก็เพียงพอแล้ว
    3) อาจารย์ฮวงจุ้ย   มักจะใช้คำพูดว่า  "หากคุณไม่แก้ไข  หลายปีผ่านไปคุณจะต้องเจออย่างนั้นอย่างนี้.."มาทำร้ายจิตใจ
    4) นักพรต...  เมื่อบรรพชนล่วงลับ   ก็มิต้องเชิญนักพรตมาประกอบพิธีกรรมฉุดช่วยดวงวิญญาณ   หากว่าเขาสามารถฉุดช่วยได้จริง   ท่านยมราชก็มิต้องยำเกรงเขาหรอกหรือ?   แล้วกฎกรรมในสามชาติจะไปชำระความกันอย่างไรเล่า?   ดังนั้นนี่ก็คือธรรมเนียมวิสัยทางโลกที่ปลอบใจคนที่มีชีวิตอยู่เท่านั้นเอง    หากว่าจะต้องสวดมนต์อุทิศให้   ก็จะต้องหาคนที่มีการบำเพ็ญรักษาอุโบสถศีล(เจ)  ส่วนคนที่ไม่รักษาศีล  บาปกรรมของคนเองก็เป็นกองพะเนินเทินทึก   ตนเองยังเอาตัวไม่รอดเลย   แล้วจะไปฉุดช่วยผู้ใดได้?
    14. สามชาติไม่ใช้มุสาวาจา     จะสามารถยื่นลิ้นออกมาแตะถึงปลายจมูกได้   ลิ้นจะมีสีแดงชุ่มฉ่ำ   คนที่มีริมฝีปากหนา  ก็มักจะอยู่ในธรรม  ส่วนผู้หญิงที่มีฟันซี่หน้ากว้างและหนา  จะสามารถช่วยสามีบริหารทรัพย์สมบัติของครอบครัวได้   คนที่ฟันห่างสามารถเป่าลมออกได้  จะทำให้ทรัพย์รั่วไหล  คนที่มีฟันเหมือนกับหนู   เป็นคนที่มีเล่ห์เหลี่ยมมาก  คนที่ฟันเรียงไม่เป็นระเบียบ  เพราะอดีตชาติใช้มุสาวาจามาก   สตรีที่มีเสียงแหลมสูง  จะเป็นคนดุดัน  สตรีที่มีเสียงค่อนข้างต่ำและทุ้ม  จะทำลายบุคลิกภาพ   สตรีที่มีเสียงไพเราะนุ่มนวล  จะเป็นผู้มีบุญวาสนา  มั่งมีศรีสุข   คนที่มีคิ้วยาวเลยขอบตา  จะได้รับการอุปถัมภ์จากคนในครอบครัวและอุปการะลูกหลานได้
    15. คนที่บำเพ็ญธรรมจะไม่ดูดวงชะตาแต่จะผันดวงชะตา    เมื่อดวงชะตาไม่ดีก็สามารถแก้ไขได้   การแก้ไขดวงชะตานั้นต้องเริ่มจากการแก้ไขจิตใจ   การแก้ไขเฉพาะรูปภายนอก(เช่นสักคิ้วเป็นต้น)  นั้นไม่ก่อประโยชน์อันใด   อายตนะทั้ง 5 ดูไม่ดี   พูดจาไม่ชัด   ไม่มีวาทศิลป์   หากว่าสามารถรักษามุสาวาทาศีลแล้ว   ต่อไปภายหน้าจะมีวาทะดีไร้อุปสรรค
    16. การตั้งปณิธานทานเจมิใช่เพียงแค่ทานเจอย่างเดียว   การทานเจจะต้องปราศจากวาจาหยาบคาย   โป้ปด   นินทาและเพ้อเจ้อ
    17. ผู้ชายอย่าได้พูดแต่วาจาหยาบคาย    ผู้หญิงด่าสามี   ด่าลูกจะต้องมีขอบเขต   มิใช่ว่ามีคำพูดไม่พอใจเท่าไร  ก็ด่าออกไปอย่างไม่น่าฟัง
    18.ยามที่คนอื่นเขาทุกข์ใจมีปัญหาครอบครัว  ไม่ควรที่จะส่งเสริมให้เขาหย่าร้างกันหรือ  ใช้คำพูดไปเสียดแทงเขา   มิฉะนั้นหากว่าเขาฟังแล้วไปฆ่าตัวตาย   ไม่เพียงแต่จะผิดมุสาวาทาศีลอย่างเดียว   ยังมีความผิดในปาณาติปาทาศีลด้วย
    19. การใช้คำพูดโกหกด้วยเจตนาดี  เพื่อช่วยขจัดความทุกข์ใจของเขา   ไม่ถือว่าเป็นการผิดศีล
    20. ผู้บำเพ็ญควรหลีกเลี่ยงการใช้คำพูดหยาบคาย    (คำด่าคน   คำหยาบ  คำพูดที่ไม่น่าฟัง  เช่น  คำพูดที่ด่าพ่อล่อแม่  เป็นต้น)   หลีกเลี่ยงการใช้คำพูดเพ้อเจ้อ ที่สร้างความสับสนด้านจิตใจแก่คนอื่น  ทำให้เขาขาดจุดยืนของตนเอง
    21. อย่าหลงเชื่อแล้วเล่าความในใจให้ใครฟังง่าย ๆ   เพื่อป้องกันการเล่าลือเป็นเรื่องในภายหลัง   ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใดก็ตาม   ทางที่ดีควรจะยกย่องชื่นชมผู้อื่น  อย่าได้พูดในส่วนที่เลวของผู้อื่น  จึงจะสามารถหลีกเลี่ยงคำนินทาครหาต่าง ๆได้
    22.แม้ว่าลิ้นเราจะนิ่ม    แต่มันร้ายยิ่งกว่าคมมีด   บุญคุณความแค้นเรื่องถูกผิดต่าง ๆ   ล้วนมาจากลิ้นจากปาก   "เคราะห์ออกจากปาก"  คิดจะพ้นเคราะห์ก็จะต้องรู้ระงับปากของตนเอง   จะพูดก็พูดในสิ่งที่เป็นประโยชน์   หากพลั้งเผลอพูดจาหยาบคายออกมาก็ให้สำนึกขอขมา   ด้วยความละอายใจจึงจะสามารถชดเชยได้
    23. คนที่พลาดพลั้ง  ต้องการคนมาห่วงใยมากที่สุด   ดังนั้นจึงต้องจัดการเรื่องราวของเขาในสถานะจุดยืนของเขา   ถ้าใช้จุดยืนของตน   ความเห็นของตนมาเรียกร้อยให้คนอื่นเขามายอมรับตน  นี่เป็นความเห็นแก่ตัว
    24. จะต้องตรวจสอบเรื่องราวให้ละเอียดชัดเจน   อย่าได้ด่วนสรุปอย่างง่าย ๆ   มีนักเรียนคนหนึ่งหุงข้าวต้มให้ขงจื่อ   บังเอิญมีของปลิวมาตกลงไปในข้าวต้ม   นักเรียนคนนั้นเกรงว่าถ้าขงจื่อกินเข้าไปแล้วทำให้ท้องเสีย   จึงได้ใช้มือหยิบออกมา   ขงจื่อเห็นเข้า   ก็ตำหนิเขาว่าไม่มีมารยาท   มีอย่างที่ไหนอาจารย์ยังไม่กิน  ลูกศิษย์กินเสียก่อน?   หลังจากที่นักเรียนคนนั้นอธิบายความจริงแล้ว   ขงจื่อจึงเรียกนักเรียนทั้งหมดมารวมตัวกัน  แล้วพูดกับพวกเขาว่า.. "ข้าได้เห็นกับตาด้วยตนเอง   ยังเข้าใจคนอื่นเขาผิดได้  นับประสาอะไรกับคำพูดที่ถ่ายทอดมายังหูของพวกเจ้า   คำพูดที่ผ่านบุคคลที่สามมาแล้วจะไม่บิดเบือนได้อย่างไร?"  ดังนั้นก่อนที่จะตัดสินใจ  จะต้องตรวจสอบเรื่องราวให้แน่ชัดเสียก่อน   อย่ารับฟังแต่คำพูดเฉพาะหน้าเท่านั้น   และก็อย่าคาดเดาสงสัยเขา    จึงจะไม่เกิดความผิดพลาด  ทำให้คนอื่นเขาล้มไป   แม้แต่อริยชน  ยังสามารถบิดเบือนเรื่องราวความเป็นจริงได้   นับประสาอะไรกับปุถุชนอย่างเราเล่า?
    25. ผลกรรมของนักการเมืองในอนาคตนั้นมากมายนับไม่ถ้วน    คนบำเพ็ญธรรมต้องออกห่างจากการเมือง   อย่าได้โผเข้าสู่กระแสการเมืองหรือคล้อยตามขบวนการ   ไปใช้คำพูดที่สร้างความสับสนจิตใจให้คนอื่นเขา   หากว่ามีญาติพี่น้องเล่นการเมือง   พยายามอย่าได้เข้าไปพัวพันเด็ดขาด
    26. ในขณะที่ญาติธรรมสาวออกโปรดคนนั้น   ให้ใช้จิตเมตตาก็เพียงพอ   อย่าได้มีความรู้สึกผูกพันในการส่งเสริมเขา    เพื่อป้องกันไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามเข้าใจผิดคิดว่ามีใจต่อเขา   หากว่ามีเจตนาเช่นนี้   ก็ขอให้คบหากันด้วยความจริงใจ
    27. ผลกรรมของการล่วงละเมิดต่อมุสาวาทาศีล
    1) จะตกเข้าสู่ทุคติภูมิ 3
    2) จะถูกประณามบ่อย ๆ ....  ถูกใส่ร้ายป้ายสีให้มีมลทิน   มักจะถูกคนรังเกียจ
    3) จะถูกเขาหลอกลวง      ถูกตำหนิได้ง่าย ๆ
    4) ไม่มีใครยอมรับและเชื่อถือ    คำพูดที่พูดออกมาจะไม่เป็นที่ยอมรับของผู้อื่น
    5) พูดไม่ชัด...ปากแหว่งแต่กำเนิด  ไม่มีลิ้นพูดจาไม่ชัด
    6) ไม่บรรลุมรรคผล...ต่อให้บำเพ็ญอย่างไรก็ไม่สามารถบรรลุมรรคผล
    7) มีกลิ่นปากเหม็น   มีกลิ่นปากที่รักษาไม่หาย   ตามตัวมีกลิ่นเหม็น   หากว่ากินเจแล้วจะค่อย ๆลดลง  เมื่อกินเนื้อก็ยิ่งเพิ่มกลิ่นเหม็นรุนแรงขึ้น
    28. ผลกรรมดีของการรักษามุสาวาทาศีล...
    1) ปากบริสุทธิ์    ดั่งกลิ่นหอมของดอกอุบล    (ดอกบัวชนิดหนึ่ง   สามารถส่งกลิ่นหอมอย่างประหลาด)   โดยไม่ต้องฉีดน้ำหอม   แต่จะส่งกลิ่นหอมโดยธรรมชาติ   คำพูดพระพุทธะไม่หลอกลวง   สามารยื่นลิ้นออกมาปิดใบหน้าทั้งหมดลงได้   ขณะที่จุดเพลิงศพนั้น   ฟันแต่ละซี่ยังเรียงอยู่ดีเหมือนเดิม
    2) ได้รับการเคารพบูชาจากผู้คนในโลกา  ...ได้รับการเคารพบูชาเชื่อถือจากทุกคน
    3) ตนเองปิติสุข   ผู้อื่นก็อิ่มเอิบใจ     ไม่ใช้มุสาวาจา   ดำรงชีวิตอย่างมีความสุขท่ามกลางความเป็นจริงของชีวิต
    4)ภพภูมิที่จะจุติในอนาคตชาติเป็นสถานที่ที่จะได้ยินแต่เสียงที่รื่นหูเสนาะโสต...ในอนาคตชาติจะไม่มีเสียงที่มาสร้างความวุ่นวายโสตประสาท  สร้างความทุกข์ใจให้กับเจ้า
    5) เสริมสร้างบารมีให้กับตนเอง   ปราศจากอุปสรรคนานา...มีสติปัญญาไร้ขอบเขต   แจกแจงองค์ความรู้ไร้อุปสรรค

ศีลข้อที่ 5
สุราเมรยมัชชปมาทัฏฐานา   เวรมณีศีล(ละเว้นจาการเสพของมึนเมาสิ่งเสพติด)

    1. สุราไม่ใช่ของคาว   แต่มันก็เป็นจุดเริ่มของความชั่วร้ายทั้งมวล   เมื่อสุราลงคอแล้วก็จะก่อให้เกิดการฆ่า   การลักทรัพย์  ความหลงมัวเมาในกาม   การกล่าววาจามุสา  ในขณะที่ขาดสติ  จนกระทั่งหมดฤทธิ์สุราแล้ว  ทุกอย่างก็สายไปเสียแล้ว   ฉะนั้นจึงต้องหยุดยั้งมัน   เหตุนี้จึงเรียกได้ว่าเป็นศีลปิดกั้น(ปิดกั้นหมายถึงการหยุดยั้ง)
    2. การดื่มสุรามีความผิดพลาดอันใด   เหตุใดสิ่งศักดิ์สิทธิ์จึงบัญญัติข้อห้ามข้อนี้...
1) สูญเสียทรัพย์สิน   บั่นทอนบุญวาสนา   อย่าดื่มสุราและก็ไม่ควรที่จะส่งมอบให้ผู้อื่น   หากผู้ถือศีลยังซื้อสุราให้ผู้อื่น   ห้าร้อยชาติก็จะไม่มีมือ    จะกลายเป็นสัตว์ที่ไม่มีกระดูกสันหลัง   เช่นไส้เดือน เป็นต้น  ออกต่างประเทศก็ไม่ควรช่วยผู้อื่นซื้อสุรากลับมา
2) อายตนะทั้งหลายมืดมน   ปัญญาถดถอย   คนสูงอายุในสมัยก่อนมีสิ่งรื่นเริงบันเทิงใจน้อย  แต่ไม่ได้รับการศึกษาด้านพุทธธรรม   ฉะนั้นอายตนะทั้ง 5 จึงมืดมน  ค่อนข้างจะโง่งม   โรคที่เกี่ยวกับระบบประสาทล้วนมาจากการดื่มสุรามากเกินไปในชาติก่อนทั้งสิ้น
3) ปัจจุบันมีโรคภัยมากมาย   ควรลดการบริโภคลง   การดื่มสุราจะทำให้เป็นโรคตับแข็ง   โรคเบาหวาน   โรคไตวาย   โรคกระเพาะได้ง่าย
4) เพิ่มพูนจิตโทสะ   ต่อสู้ช่วงชิงทำร้ายกัน ...  อาศัยสุรากระตุ้นความกล้า   ก่อบาปสร้างเวรเช่น   ต่อยตี  มั่วเสพกาม  ออกเช็คพร่ำเพรื่อเป็นต้น    การดื่มกินเที่ยวเสพสุขต่าง ๆถือว่าเป็นสัมภาระในจิตใจของผู้บำเพ็ญปฏิบัติ   จะต้องใช้สติปัญญาควบคุมมัน   ในท่ามกลางการติดต่อสมาคมทางการค้า  จะต้องหาวิธีการพูดที่นุ่มนวล   โดยใช้น้ำชามาแทนสุรา
5) กามตัณหาคุโชน    กิเลสทั้งหลายจักเกิดตามมา...ขณะที่เมาสุรานั้น   จิตใจจะคล้อยตามกิเลศตัณหา    เกิดความคิดฟุ้งซ่านไปตามสภาวะต่าง ๆ  หลักจริยธรรมทุกอย่างก็หมดสิ้น
6) การสูญเสียจริยามารยาทโดยแต่งกายไม่มิดชิด   หรือออกจากบ้านใส่ชุดสูทแข็งตรงเป๊ะ    พอดื่มสามจอกลงคอแล้วก็เดินส่ายซ้ายส่ายขวา    คำพูดหยาบคายก็หลุดออกจากปาก     ท่าทีน่าเกลียดจะปรากฏออกมา   มีกิริยารุ่มร่าม   สร้างปัญหาให้กับครอบครัวมากมาย
7) เปิดเผยความลับ   ธุรกิจการงานไม่ประสบความสำเร็จ....สนามการค้าเหมือนกับสนามรบ   หลังจากดื่มสุราแล้วเผลความลับของธุรกิจ   ก็จะถูกเจ้านายลงโทษไล่ออก   หากว่าตนเองเป็นเจ้านายเอง   บุญวาสนาไม่เพียงพอ  ภายในสองเดือนอาจจะต้องม้วนเสื่อกลับบ้าน
8) ทำลายเกียรติยศของพ่อแม่    ไม่เคารพต่ออาวุโส.....การดื่มสุราจะทำให้สติเลอะเลือน   ทุบตีพ่อแม่  จนกระทั่งเข่นฆ่าพ่อแม่ให้ตายตาม ๆกัน    ญาติสนิทมิตรสหายไม่ให้การยอมรับ
9) พ่อแม่ไม่ชอบใจ   ลูกหลานจะทอดทิ้ง....การดื่มสุราจะมีกลิ่นคลุ้งที่น่ารังเกียจ    ทำให้คนในบ้านรังเกียจ   และจะถ่ายทอดสู่ลูกหลานรุ่นต่อไป
10) ไม่เชื่อไตรรัตน์  ล่วงละเมิดผิดศีลเจ....หลังจากดื่มสุราแล้ว   ศีลเจคืออะไรก็ไม่รู้ตัว  ไม่สามารถรักษาศีลไว้ได้   พระพุทธพระธรรมพระสงฆ์   ไตรรัตน์ก็ไม่ให้การเคารพบูชา   จนกระทั่งเปิดเผยความลับไตรรัตน์ของหลักธรรมออกมา
11) คนดีออกห่าง  คนชั่วเข้าใกล้....สรรพสิ่งอาศัยคุณสมบัติในการอยู่รวมกัน   คนที่อยู่ร่วมกันล้วนเป็นเพื่อนกินเพื่อนเมทั้งสิ้น
12) กายใจสับสน  ขาดซึ่งสัมมาสติ(สมาธิ)   การใจไม่อาจสงบลงได้   มีแต่จะคิดเรื่องที่ไม่เป็นสภาพจริง
13) ทำแต่เรื่องผิดศีลธรรม   ล่วงละเมิดต่อสัทธรรม
14) ไม่สมความปรารถนา  เพิ่มความทุกข์ตรม....หลังจากผิดศีลแล้ว  จิตมโนธรรมก็ไม่อาจจะสงบลงได้  เหมือนมีผีมารอยู่ในใจ  ไม่อาจจะเยือกเย็นลงได้
15) ปล่อยเวลาให้สูญเปล่า  นิสัยไม่ดียากแก้ไข
16) ร่างกายเสื่อมโทรมจนสิ้นใจ   ตายไปตกนรก
    3. อาจจะใช้ยาผสมในสุราเพื่อเยียวยาความเจ็บป่าย   แต่ไม่ควรเมาจนไร้ขอบเขต   สำหรับยาทาภายนอกที่สีสุราผสมอยู่นั้นไม่เป็นไร
    4. ยาชูกำลังที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอลอย่าได้ดื่ม   ถ้าดื่มเพิ่มพลังมากเกินไปแล้ว   จะเป็นการเพิ่มพลังทางการตัณหา  จะไม่ดี
    5. ผลกรรมของการทำผิดสุราเมรยมัชชปมาทัฏฐานา  เวรมณีศีล....
1) ตายไปจะตกในขุมนรกกรอกไฟใส่ปาก
2) เกิดในภพมนุษย์   จะเป็นคนโง่งมฟั่นเฟือน   ไม่เชื่อในสัทธรรม
    6. ผลกรรมแห่งการถือสุราเมรยมัชชปมาทัฏฐานา   เวรมณีศีล...
1) สติสัมปชัญญะชัดเจน  อยู่เย็นเป็นสุข.....ต่อไปจะได้เป็นพระเถระ   เป็นนักบรรยายวิทยากร   มีพลังการตัดสินใจแน่วแน่   จะไม่คิดฟุ้งซ่าน   จะไม่ทำเรื่องประมาทหรือเรื่องราวที่มีผลกระทบต่อจิตใจ
2) รักษาศีล   จะไม่สร้างกรรมหนัก.....การรักษาศีลทั้ง 4  คือการไม่ฆ่า  ไม่ขโมย  ไม่ลักทรัพย์   ไม่มุสา  นั้นง่ายมาก  ซึ่งจะทำให้ไม่สร้างบาปกรรมหนักหนา
3) ในอนาคตจะเกิดในภพมนุษย์  เทวดา  จะไม่ตกเข้าสู่ทุคติภูมิ

ส่วนเสริม

ปาณาติปาตา   เวรมณีศีล (ละเว้นจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต)

    การไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตคือการปฏิบัติในความเมตตา   การไม่ลักทรัพย์คือการเพิ่มพูนคุณธรรม   การไม่ประพฤติผิดในกามคือ การเสริมสร้างจริยามารยาท  การไม่พูดจาโป้ปดมดเท็จคือ   การเติบโตทางปัญญา   การไม่ดื่มสุราคือการรักษาสัจจะ
    หมายเหตุ   ไม่ควรฆ่ามดแมลง    ไม่ควรซื้อสุราให้ผู้อื่น   หากทำไปด้วยความไม่รู้    ก็จะถือเป็นการละเมิดศีลได้   เมื่อละเมิดศีลแล้วก็ไม่สามารถหลุดพ้นได้
    พระอาจารย์กล่าวไว้ว่า  จะต้องมีความเมตตาในทุกสภาวะ   สามารถอยู่ร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับสรรพชีวิตได้   เช่น   เสือกินคนเป็นอาหารได้   แล้วคนจะต้องยอมเป็นอาหารของเสือหรือ ?   ยุงดูดเลือดคน  แล้วคนจะต้องยอมให้ยุงดูดเลือดด้วยหรือ?    คนเราจึงต้องรู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา   จึงจะไม่เกิดความผิดพลาดในชีวิตตน
    พระอาจารย์ยังเมตตาอีกว่า
    1. พลังงานน้ำสามารถเปลี่ยนเป็นพลังงานแสงได้   พลังงานแสงนั้นก็สามารถกลายเป็นพลังงานไฟฟ้าได้ (สสารสามารถเปลี่ยนเป็นอะตอมได้)  คนเราสามารถบำเพ็ญธรรมได้   ก็จะสามารถผันแปรกฎแห่งกรรมได้   คนเราไม่สามารถบำเพ็ญธรรมได้   ก็ไม่สามารถผันแปรกฎแห่งกรรมได้
    2. ห้องที่มีการประดิษฐานพระพุทธรูป   ควรระมัดระวังเรื่องเปลี่ยนเสื้อผ้าอาภรณ์ในห้อง   รูปภาพพระพุทธะที่เก่าแล้ว   ขาดแล้ว   ให้ม้วนเก็บเอาไว้อย่าเผาทำลาย   ม้วนเก็บเอาไว้ก็พอ   ไม่เช่นนั้นถ้านำไปเผาพร้อมขยะก็จะเป็นการไม่เคารพต่อพระพุทธ
    3. อย่ามีจิตคิดร้ายมุ่งทำลายพระพุทธรูป
    4. เลี้ยงสัตว์จนมันสิ้นอายุขัยแล้วนำไปฝังให้มันไปเกิดในภพชาติใหม่    อย่านำมันไปขายหรือส่งมอบให้ผู้อื่น   สวดมนต์ท่องคาถาให้ไปสู่สุคติภูมิ   อย่านำมันไปให้คนอื่นฆ่ากิน
    หากเคยทำผิดดังกล่าวข้างต้น   ให้จุดธูปสามดอก  ขอขมาสำนึกผิด  เคยทำผิดฆ่าคน  ก็ให้สร้างบุญกุศลอุทิศให้เขาไป   ทำโดยไม่ตั้งใจมีโทษเบา  ทำโดยเจตนามีโทษหนัก
    5. การทานเจสามวัน  หกวัน  หรือเก้าวันเป็นเรื่องของการปฏิบัติ(มองดูการปฏิบัติ)   ผู้บำเพ็ญที่แท้จริงจะมองที่ใจ
    6. คนที่ทานเจ   เวลาซื้ออาหารควรจะต้องถามไถ่ดูก่อน   จะต้องมีความคิดที่เที่ยงตรง   หากไม่ระวัง  กินอาหารคาวเข้าไป  ก็ให้กลับมาจุดธูปขอขมากรรม
    7. หากโชคไม่ดีมีสุนัขวิ่งตัดหน้ามาทำให้เราชนมันตาย  วิบากกรรมของสุนัขนั้นยังไม่หมด   มันยังคงต้องกลับชาติมาเกิดเป็นสุนัขอีก   หากวิบากกรรมสิ้นสุดก็ได้กลับชาติมาเกิดเป็นคน (ในกรณีที่มันวิ่งออกมาให้คนขับรถชนตายเอง)
    8. เมื่อเกิดความคิดที่จะซื้ออาหารเนื้อสัตว์ของคาว   ผลกรรมนี้ไม่เกี่ยวข้องกับอาจารย์
    9. การฆ่าหมูเพื่อเป็นเครื่องเซ่นอธิษฐาน   ก็เท่ากับหาความยุ่งยากใส่ตนเอง   ในเมื่อยังไม่ทันได้สร้างบุญกุศลเลยก็สร้างบาปกรรมเสียแล้ว    อย่าได้หลงคล้อยไปตามกระแสนิยมประเพณี    อย่าได้ไปวอนขออธิษฐานตามศาลเจ้า   หลีกเลี่ยงการเข้าองค์ทรงเจ้าต่าง ๆ   การนำอาหารคาวไปกราบไหว้บรรพชนก็มีแต่จะเพิ่มบาปกรรม    เนื่องจากยังไม่ได้รับการฉุดช่วยดวงวิญญาณ
    10. อย่ายึดติดกับนิมิตความฝัน
    จากข้างต้นจะต้องระวัง   จึงจะไม่ทำลายธรรมกิจ   ขอเพียงมีความตั้งใจหนึ่งเดียวที่จะบำเพ็ญปฏิบัติด้วยความซื่อสัตย์    จิตใจจะต้องมีความเที่ยงธรรมจึงจะดี   มีเพียงการถือศีล   จึงจะสามารถผ่อนวิบากกรรมให้เบาบางลงได้      หากตัวพระอาจารย์   ยังไม่สามารถฉุดช่วยตนเองแล้ว   จะฉุดช่วยผู้อื่นได้อย่างไร?  การ  "ดูดวง" หรือ  "ทำนายชีวิต"   มักจะอาศัยอัตวิสัย(มุมมองส่วนตน)    มาพิพากษาคนอื่นในการสร้างบาปกรรม   เช่นนี้จะมีผลในแง่ลบ    ย่อมจะไม่เป็นผลดีต่อการบำเพ็ญปฏิบัติ
    ศีลวินัยในข้างต้นนั้นละเอียดยิ่งนัก   ตนเองมีความเพียรบำเพ็ญปฏิบัติหรือไม่   จะบำเพ็ญเต็มร้อยหรือไม่ได้ตามเกณฑ์นั่นก็ขึ้นอยู่กับตนเอง   หากว่าตนเองสักแต่คำนึงถึงความสบายแล้ว   เมื่อกลับคืนไปยังจะต้องคิดบัญชีกันแน่นอน    เราบำเพ็ญในปฏิปทาพระโพธิสัตว์จะต้องมีความมานะพากเพียร
    การเสพสุข   เสพบุญวาสนา   จนบุญวาสนาหมดสิ้นไปแล้ว   จะต้องรับทุกข์  การลบล้างบาปกรรมนั้น  จงอย่าได้ทำลายจิตโพธิสัตว์ของผู้อื่นโดยเด็ดขาด   จะต้องใช้วาจาที่แสดงความห่วงใย  ชื่นชมเขาจะเป็นการดีกว่า
อทินนาทานา     เวรมณีศีล   (ละเว้นจาการลักทรัพย์)
    ทุกขณะจิตจะต้องทำจิตใจให้บริสุทธิ์   เมื่อบังเกิดความคิดขึ้นมาแล้ว  จะต้องลองถามตนเองว่าสมควรหรือไม่ที่จะเกิดความคิดเช่นนี้   จะได้ไม่ต้องสร้างมลทินให้กับกายใจ
    1.สมณะก็ต้องปฏิบัติตามกฎของสมณะ  ซึ่งเป็นกฎที่ละเอียดมากยิ่งขึ้น   ส่วนพวกเราก็คือส่วนหนึ่งของอาณาจักรธรรม
    2. สามารถมาทานอาหารที่พุทธสถานได้   แต่ก็ไม่ควรจะมีจิตใจคับแคบจนเกินไป    ขอให้หมั่นทำทานก็แล้วกัน
    3. เพลิงโทสะภายในไม่ดับอัคคีภัยภายนอกไม่สิ้น
    4. บางคนถือปฏิบัติเคร่งครัด  บางคนก็ผิวเผิน   จะถือศีล 3 หรือไม่หน่วงเหนี่ยวศีลให้ผิดเพี้ยน   ทางที่ดีควรจะถือให้เต็มร้อย
    5. ถ้าคนเราไม่มีวิบากกรรม(ความทุกข์)  มาผูกมัน   ก็จะหลุดพ้นง่าย  บำเพ็ญปฏิบัติได้ง่าย
    6. เพลิงอวิชชาสามารถเผาผลาญป่าบุญกุศลให้วอดวาย   เผาจิตญาณแล้ว   เมื่อจิตญาณถูกเผาบุญกุศลก็จะถูกทำลาย   ขันติบำเพ็ญได้ยาก  เวไนย์สัตว์ยุคปลายกัปมีรากฐานจิตใจขลาดเขลา    ใช้อารมณ์เป็นใหญ่  คนที่อยู่ในแผ่นดินใหญ่   ต่างมณฑลควรจะลดการบริโภคพริกให้น้อยลง  หากงดได้ก็ขอให้งด
    อาจารย์ถ่ายทอดธรรมจะต้องตัดขาดจากเรื่องราวความสัมพันธ์ทางชายหญิง    ผู้แนะนำผู้รับรองโปรดคนมารับธรรมด้วยความเหนื่อยยาก    อาจารย์ถ่ายทอดธรรมจะมิให้เขามารับธรรมไม่ได้   จะยืนกรานปฏิเสธไม่ได้     อาจารย์ถ่ายทอดธรรมมีแต่ต้องดำเนินกิจอย่างมีมโนธรรม   และปราศจากอำนาจ(พระอาจารย์ล้วนแต่เปิดโอกาสให้เวไนย์สัตว์ครั้งหนึ่งเท่านั้น)   ปัจจุบันนี้นิยมสินค้าซื้อหนึ่งแถมหนึ่ง   เมื่อผู้แนะนำผู้รับรองนำพาเขามาแล้ว   อาจารย์ถ่ายทอดธรรมจะต้องเห็นธรรม  ส่งเสริมธรรม  หากว่าเขาปฏิเสธธรรม  นั่นก็ถือว่าเขาไร้บุญสัมพันธ์   ให้โอกาสเขาแล้วเขาไม่มาก็ตามแต่บุญปัจจัยก็แล้วกัน
    สมัยก่อนต้องคุกเข่าคลานกันเข้ามารับวิถีธรรม    เวไนย์สัตว์ในยุคปลายกัปนำพากรรมมาบำเพ็ญปฏิบัติ(บำเพ็ญตามกุศโลบาย)   แม้ว่ามหาธรรมจะไร้ใจ   แต่เวไนย์สัตว์ยังมีใจ    พระอาจารย์ล้วนให้โอกาสแก่เวไนย์สัตว์สักครั้งหนึ่งเพื่อได้รับการฉุดช่วยเสมอ
    พระพุทธเจ้า....พ้นจากชะตาชีวิตการบำเพ็ญธรรม   จึงไม่ควรจะมาทำนายดวงชะตา    จะต้องยอมรับชะตากรรม(รู้ชะตากรรมแล้วกำหนดชะตากรรม)    องค์พระศากยราชกุมาร(เจ้าชายสิทธัตถะ)  พระราชธิดาอวโลกิเตศวร   พระองค์ต่างละทิ้งครอบครัวมาบำเพ็ญธรรม    ทำให้พระราชบิดาและพระราชชนนีทรงทุกข์พระราชหฤทัย   แต่ก็ทรงทำไปเพื่อดำเนินในมหากตัญญุตาธรรม   ฉะนั้นจะต้องหมั่นศึกษาพระจริยวัตรของพระอริยะบุคคลให้มาก ๆ
    หากพวกเรารู้จักหัวขโมยนั้นก็จะต้องตักเตือนเขา   หากสามารถตักเตือนได้ก็เตือน   มิฉะนั้นจะเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดทำผิด   ร่วมกันสร้างวิบากกรรม   เพียงแค่รับวิถีธรรมแต่ไม่มาลบล้างหนี้กรรม   ทางที่ดีก็ขอให้หมั่นทำทานให้มาก ๆก็แล้วกัน
    หมายเหตุ.....อทินนาทานา  เวรมณีศีล(ละเว้นจากการลักทรัพย์)
1) สละได้ก็ให้พยายามเสียสละ   อย่าได้เปรียบเทียบกับผู้หนึ่งผู้ใด   ว่าจะต้องอย่างนั้นอย่างนี้   แต่ละคนย่อมจะมีวิถีการบำเพ็ญปฏิบัติของแต่ละบุคคลไป (ศาสนาอื่น ๆก็เช่นกัน)
2) แม่ครัวในห้องครัว  จะต้องจัดการอย่างระมัดระวัง
3) จะต้องช่วยกันดูแลอาณาจักร    ให้กำลังใจกันและกัน   อย่าได้ไปใส่ร้ายทำลายอาณาจักรธรรมของผู้อื่น   ผู้อยู่ตำแหน่งเบื้องสูงจะต้องหมั่นดูแลรักษา    ใช้บารมีธรรม(คุณธรรม) ไปโปรดคน   แต่ละคนต่างก็มีต้นเหตุผลกรรมของแต่ละคนไป    จะต้องหมั่นช่วยกันดูแลอาณาจักรธรรม
4) การฟังธรรม....ไม่ใช่ว่าอาจารย์ถ่ายทอดธรรมของสายอื่น   ผู้น้อยสายอื่นจะมาร่วมฟังไม่ได้   แต่เมื่อฟังไปแล้วกลับไปจะต้องรู้จักบำเพ็ญ
    พระราชบุตรสามโกมินทร์เมตตาว่า....
    1. มีกตัญญูรู้จักสร้างฐานครอบครัว   สั่งสอนลูกหลานแล้วหรือยัง?    จะต้องทำให้เขาเห็น   มนุษยธรรมจะต้องถึงพร้อม   เทวธรรม(โลกุตตรธรรม)จึงจะสมบูรณ์
    2. ไม่มีพระพุทธเจ้าพระองค์ใดที่ไร้ความกตัญญู   ไร้ความภักดี   ให้คล้อยตามบุญปัจจัย   กระทำเต็มกำลังความสามารถของตนก็แล้วกัน
    3. มีบุญปัจจัยมาก็อยู่ร่วมกัน   บุญปัจจัยสิ้นก็จะจากกันไป   อย่าได้ยึดติด(การพบจากของวาระเหตุปัจจัย)
    4. การปฏิบัติธรรมกิจที่ต่างประเทศ    ต่างคนต่างก็มีบุญปัจจัยของตน   ขอให้คล้อยตามบุญปัจจัย  ทำเต็มกำลังความสามารถของตนก็แล้วกัน
    5. คนที่สามารถไปยังต่างประเทศได้ก็ให้ไป     ออกไปครั้งหนึ่งก็ไม่ต้องคำนึงว่ายาวนานเพียงใด
    6. ลูกไก่จะต้องเติบโตเป็นแม่ไก่ให้ได้   แล้วค่อยไปคุ้มครองลูกไก่ตัวอื่น ๆต่อไป
    7. สิ่งศักดิ์สิทธิ์จะช่วยผลักดันได้ระดับหนึ่งเท่านั้น   เห็นธรรมแล้วส่งเสริมธรรม   สิ่งสำคัญคือจะต้องพึ่งตนเอง
    8. ละครธรรมกาลยุคขาวจะต้องอาศัยสิ่งมายามาบำเพ็ญสิ่งแท้จริง   ดังนั้นจะต้องบรรลุมนุษยธรรมให้ได้   เทวธรรม(โลกุตตรธรรม)  จึงจะสามารถสมบูรณ์
    9. ไม่ต้องแสวงหาว่าจะร่ำรวยเพียงใด   อยู่อย่างร่มเย็นสงบสุขก็คือบุญวาสนา   ไม่ต้องผืนเรียกร้อยเหตุปัจจัยต่าง ๆ   ให้ถนอมวาระโอกาสปัจจุบัน   จึงจะเป็นบุญวาสนา
    10. ยามที่พี่น้องมีปัญหากันนั้น    อาจารย์ถ่ายทอดธรรมจะต้องยื่นมือเข้ามาแบกรับแก้ไข   ไปสร้างความเข้าใจปัญหาให้กับพี่ ๆน้อง ๆ   จิตของเจ้าอยู่ที่เวไนย์สัตว์    เวไนย์สัตว์จึงจะสามารถเข้าใจถึงจิตใจของเจ้าได้
    11. การบำเพ็ญธรรมจะต้องเดินตามสัจธรรม   คล้อยตามหลักโคจรของสัจธรรม   ให้นำคุณสัมพันธ์  5  คุณธรรม 8    ปฏิบัติออกมาให้เห็น    อย่าได้ยึดถือตัวบุคคลในการบำเพ็ญโดยเด็ดขาด
    12. ช่วงเดือน 6  อย่าปล่อยให้อารมณ์มันร้อนแรงเกินไปนัก   ให้ช่วยกันแบกรับอย่างเท่าเทียมกัน   ถือความเสมอภาคกันของเวไนย์สัตว์เป็นหลัก
    13. จะสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าได้หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับจิตใจ    มิใช่อยู่ในสถานะตำแหน่งใด ๆในโลกนี้   ให้ค้นหาจิตดั้งเดิมแท้ของตนให้พบเป็นพอ
    14.เภทภัยในปัจจุบัน    มาเป็นระลอก ๆ   หากคิดจะหลีกเลี่ยงมัน   มิสู้เผชิญหน้ากับมันอย่างห้าวหาญกันดีกว่า


กาเมสุมิจฉาจารา   เวรมณีศีล (ละเว้นจากการประพฤติผิดในกาม)
    พระอาจารย์ตอบประเด็นข้อสงสัยของศิษย์ (ผู้เข้าอบรม) ในชั้นอบรมธรรม
    1. เมื่อไม่มาอาณาจักรธรรมก็เท่ากับขุดหลุมฝังตนเอง   หลักธรรมสามารถนำเข้าสู่ครัวเรือนได้ (การบำเพ็ญปฏิบัติคือการสร้างความสมบูรณ์พูนพร้อมทั้งระบบ)   ดำเนินโครงสร้าง 3 นิรันดร์ 5  คุณสัมพันธ์ 5  คุณธรรม 8  จะขาดหลักธรรมใดหลักธรรมหนึ่งไม่ได้
    2. พ่อแม่แบกรับภาระเพื่อพวกเรา   ส่วนพวกเราจะมีความกล้าที่จะแบกรับเพื่อชนรุ่นต่อไปหรือไม่?
    3. ลูกของตนเองไม่เคยคอยห่วงใยเขา   พอเกิดเรื่องมีปัญหาขึ้นมาแล้วโทษหลักธรรม  เช่นนี้ก็จะเกิดอุปสรรคทางทัศนคติอย่างมากมาย
    4. วิบากกรรมไม่มีอะไรน่ากลัว   ที่น่ากลัวคือไม่ทำความเข้าใจกับมัน   พระโพธิสัตว์จะไม่ปฏิเสธหลีกหนีวิบากกรรม(ความยุ่งยาก)   โปรดเวไนย์สัตว์อยู่ในทะเลทุกข์    พระอรหันต์กลับกลัววิบากกรรม(กลัวความยุ่งยาก)  ไม่กล้าที่จะโปรดเวไนย์สัตว์
    5. กามเป็นสิ่งที่ผูกมัดคนแน่นหนาที่สุดในจักรวาล   หากว่าตัดมันไม่ขาด  สามารถใช้การเพ่งพิจารณา  ว่าร่างกายของคนเรานั้นไม่บริสุทธิ์   มีขี้มูก   ขี้ตา   อุจจาระ   ปัสสาวะ ....เป็นต้น   ไม่มีสิ่งที่ไม่โสมม   สำหรับสตรีในโลกีย์   ให้พิจารณาว่าหล่อนเป็นพ่อแม่พี่น้องของเราในอดีตชาติ  3  ชาติ  (เวไนย์สัตว์ในคติ 6 ทั้งหลาย  ล้วนเป็นพ่อแม่เราในอดีตชาติ   จะล่วงละเมิดไม่ได้)
    6. พฤติกรรมการใช้เงินตรา   เพื่อแลกกับกามตัณหา   ถือว่าเป็นเรื่องที่ไร้คุณธรรมที่สุด
    7. การเลี้ยงสุนัขตัวผู้และสุนัขตัวเมียไว้ให้เกิดลูกสุนัขเพื่อนำไปขาย   มันไม่ดี   เป็นการกระทำที่ก่อเกิดมลทินทางความคิด
    8. การขี่ม้าจะกระตุ้นกามารมณ์   สัตว์ทั้งหลายก็เหมือนพี่น้องของเรา   การขี่มันก็เท่ากับเป็นการทารุณมัน (อย่าไปสถานเลี้ยงม้าเด็ดขาด)
    9. อย่านำเรื่องราวภายในครอบครัวของผู้อื่นไปป่าวประกาศ   จะต้องรู้จักชื่นชมผู้อื่น
    10.เมื่อสิ้นบุญแล้ว   สุภาพบุรุษนั้นนัยน์ตาจะเน่าก่อน   ส่วนสุภาพสตรีปากจะเน่าก่อน
    11. เรื่องของสามีภรรยา   เป็นเรื่องส่วนตัว  อย่าเข้าไปยุ่งเกี่ยว   มิฉะนั้นจะนำเคราะห์ภัยมาสู่ตน
    12. กามตัณหาเป็นเรื่องเคร่งครัดสำหรับเหล่าสมณะ   คุณธรรมสัมพันธ์แห่งความเป็นคนนั้นสำคัญกับฆราวาส    อย่าละทิ้ง   ครอบครัวจะได้ไม่เกิดปัญหา
    13. อาณาจักรธรรมไม่เรื่องมาก  แต่ใจคนนั้นมากเรื่อง

ผลกรรมจากการล่วงละเมิดศีลกาเมสุมิจฉาจารา
(3)  ญาติพี่น้องไม่ได้เป็นดังใจที่หวัง   หย่าได้ยุแหย่ภรรยาของพี่น้องให้แตกแยกกัน   มิฉะนั้นแล้วจะได้ภรรยาที่ดุดันร้ายกาจ   ประพฤติตนไม่ดี   ออกนอกลู่นอกทาง   ได้สามีหรือภรรยาที่ไม่น่ารัก
หมายเหตุ    เมื่อจะแต่งงานจะต้องดูให้ดีเสียก่อนว่า   คู่ครองคนนี้ยังไม่เคยแต่งงานมาก่อน   หากคู่ครองคนนี้เคยแต่งงานแล้ว   ไม่ว่าเขาหรือเธอจะหล่อจะสวยปานใด    ก็ไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยว   และอย่ามันแต่ขลุกอยู่ในพุทธสถาน   โดยไม่สนใจครอบครัวตนเอง   จัดการเรื่องราวในครอบครัวไม่เรียบร้อย   ย่อมจะถูกตรวจสอบอยู่ตลอดเวลา   หากดูแลบ้านเรือนให้สะอาดเรียบร้อย  มีใบหน้ายิ้มแย้มอ่อนโยน   จึงแสดงถึงการดำเนินในธรรม  ดำรงอยู่ในสถานภาพของตน   อย่าทำตัวเป็นมหาราชาในพุทธสถาน  และทำตัวเป็นทรราชย์เมื่ออยู่ที่บ้าน   จะต้องดูแลสภาพแวดล้อมที่ตนอยู่ให้ดี    แต่ก็ไม่ใช่ขลุกอยู่ที่บ้านดูแต่ทีวีทั้งวัน   จะต้องดูแลชีวิตของตนให้ดีด้วย   อย่าได้ไปชี้แนะส่งเสริมผู้อื่นให้ทำตัวเยี่ยงเจ้า   ผู้อื่นจะแต่งงานก็ไม่ต้องไปคัดค้าน   แต่ก็ไม่ต้องชื่นชมสนับสนุน   ปล่อยทุกอย่างให้เป็นไปตามธรรมชาติ
หมายเหตุ    การนั่งสมาธิเพื่อเก็บจิตฟุ้งซ่านกลับคืนมา   เมื่อจิตเป็นสมาธิก็จะตัดความฟุ้งซ่านออกไม่ได้   หากไม่มีจิตฟุ้งซ่าน   ก็จะสามารถนั่งสมาธิได้นาน   ผู้บำเพ็ญในสมัยก่อน  เห็นสตรีดั่งเห็นความชั่วร้าย   วีรบุรุษยากที่จะพ้นด่านของสตรีไปได้   เมื่อนางผู้เลอโฉมอ้างถึงความตาย   ต่อให้เป็นผีก็ยินยอมที่จะต้องทำให้หล่อนพึงพอใจ
    สุภาพบุรุษทั้งหลายจะต้องหมั่นบำเพ็ญขัดเกลาศีลข้อนี้   รักษาใจให้บริสุทธิ์   จะต้องเคารพภรรยา  มิใช่เรียกภรรยาว่าผีตายซาก   แล้วก็หาเศษหาเลยนอกบ้าน   ส่วนภรรยาต้องมีความภาคภูมิใจในตัวสามี   สามีก็ต้องยกย่องชื่นชมที่ภรรยามีความอดทนต่อความทุกข์ยากได้   อย่ามัวแต่รักสนุก   ซึ่งจะนำพาความเดือดร้อนมาสู่ตนภายหลัง   เปรียบเหมือนกับการเชิญเทพเจ้าเข้าบ้านนั้นแสนง่าย   แต่การเชิญเทพเจ้าออกจากบ้านนั้นแสนยาก   สร้างความผูกพันซึ่งกันและกัน   มีมารยาทต่อกัน ให้ความเคารพซึ่งกันและกัน
    พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ตั้งมั่นไว้ว่า   ข้าไม่ลงนรกแล้วใครจะลงนรก  (คนที่ตั้งปณิธานกินเจแล้วต้องแต่งงานกับคนที่ไม่ทานเจก็ให้โปรดเขา     นำพาเขาให้ทานเจ   บำเพ็ญธรรม  โปรดบรรพชนและลูกหลานของเขา)
    อย่าโอ้อวดกันในเรื่องของการบำเพ็ญปฏิบัติธรรม   การโอ้อวดความสามารถกันมิใช่เป็นการทุ่มเทในครอบครัวหนึ่ง   คนหนึ่งนับถือพระอัลเลาะห์   คนหนึ่งนับถือพระยะโฮวา   อาจารย์จะปล่อยให้เป็นไปตามเหตุปัจจัยของแต่ละคน   จะไม่คัดค้าน  แต่ก็ไม่สนับสนุน   ปล่อยทุกอย่างให้เป็นไปตามธรรมชาติ
    กระจกนั้นมีไว้ส่องตัวเองอันดับแรก    ข้อบกพร่องของผู้อื่นอย่านำมาเป็นข้อสนทนาบนโต๊ะอาหาร   คนที่อายุมากก็จะต้องเสริมสร้างบารมีให้สูงส่ง

มุสาวาทาศีล
หมายเหตุ    
1. จะต้องรู้จักมีอารมณ์ขัน    อยู่ในโลกนี้จะต้องไม่พูดจาหยาบคาย   โป้ปด นินทา  เพ้อเจ้อ
2. ตั้งปณิธานกานเจ (ต้องชำระปากให้บริสุทธิ์)   และหมั่นศึกษาหาความรู้ทางธรรมด้วย   คนที่ขับรถแท็กซี่ก็ใช้คำพูดหยาบคาย   หญิงสาวก็เอาแต่ด่าว่าเด็ก ๆ   สิ่งเหล่านี้จะต้องระมัดระวัง   พยายามพูดแต่คำพูดไพเราะ   หากผู้ชายทำตัวไม่ได้เรื่องได้ราว  ก็อย่าด่าว่าตำหนิ   ตนเองจะต้องมีความหนักแน่น
    วิธีทางโลก  คือ  การขจัดข้อขัดแย้งต่าง ๆในชีวิตประจำวัน   สามีไม่ตรงต่อเวลา  ก็ต้องนั่งรอเขา  เรียกให้เขาอาบน้ำ   เตรียมน้ำไว้ให้อาบแล้ว  พูดคุยถามไถ่เขาบ้าง   หากทำไปแล้วหนึ่งวัน  สองวัน  สามวันก็ยังไม่ได้ผล   ทำให้เขาเห็นใจไม่ได้  ก็ต้องปล่อยเขาไป  มีแต่อดทนและยอมรับชะตาชีวิตของตนเอง  แต่ก็พยายามทำให้ดีที่สุด  ให้เขาเห็นใจรับรู้   หากไม่ได้ผล  ตนเองจะต้องรู้จักปล่อยวาง  (บางทีอาจจะมาพักอยู่ที่พุทธสถานสักสองสามวัน   แต่ก็อย่าให้นานเกินไป   มิฉะนั้นแล้วจะเกิดความไม่สมบูรณ์ขึ้น   แต่อย่าไปบอกว่าอาจารย์สอนเจ้านะ   หรือมาก่อความวุ่นวายที่พุทธสถานก็ไม่ได้นะ
3. จงอย่ามีความคิดอยากตาย   อย่าได้มีคำพูดที่จะขอหย่าขาด  เพื่อทำลายความเชื่อมั่นไว้ใจของคู่ครอง
4. ไม่พูดจาเพ้อเจ้อ  ผู้บำเพ็ญให้พูดจาแต่น้อย   พูดแต่ความจริงและต้องเป็นคำพูดสร้างสรรค์ด้วย
5. การหลอกลวงโดยเจตนาดี   ต้องเป็นไปเพื่อช่วยเหลือมหาชน   เป็นไปเพื่อช่วยแก้ไขความทุกข์  กลัดกลุ้มใจของผู้อื่นก็ไม่เป็นไร
6. คำพูดหยาบคาย   ไม่น่าฟัง  ให้หลีกห่างจากคนประเภทนี้   อย่าได้พูดจาที่ทำให้ผู้อื่นสับสน
7. อย่าเชื่อใจคนง่าย ๆ  แล้วระบายความในใจโดยพูดถึงข้อบกพร่องของผู้อื่น   ยุแหย่ให้แตกแยก   ต้องระมัดระวังคำพูดและการกระทำ     จะต้องพยายามพูดในส่วนดีของคนอื่น
8.. การพูดจาโป้ปด  ยุแหย่   โดยเฉพาะสตรีจะทำให้ครอบครัวผู้อื่นแตกแยกได้ง่าย
9. พระพุทธะบำเพ็ญเพียรทุกคำพูดมาจากใจจริง   พูดในสิ่งที่มีประโยชน์   ส่วนคนเราจะต้องรู้บำเพ็ญรู้ละอายใจ   การทำงานต่าง ๆจึงจะเกิดผล   กู่เต๋อกกล่าวไว้ว่า  "นั่งสมาธิให้พิจารณาถึงความผิดพลาดของตน   ไม่ควรสนทนาวิพากษ์วิจารณ์ในความผิดของผู้อื่น
10. อย่ากล่าวคำหยาบคายที่ทำให้ผู้อื่นเจ็บช้ำน้ำใจ (เช่นคนที่หน้าตาไม่สวยอยู่แล้ว  เรายังจะไปพูดว่าเขาว่ามีกรรมหนัก)
    พระอาจารย์กล่าวเมตตาว่า   คนโง่ก็บำเพ็ญแบบคนโง่  มีเพียงผู้ที่มีปัญญาเป็นเลิศกับผู้ที่โง่เขลาเท่านั้นที่จะบำเพ็ญธรรมได้ดี    ส่วนคนที่อยู่ระดับกลางมักจะขึ้น ๆลง ๆ  มักจะหวั่นไหวไปตามกระแสคลื่นทางโลก  ยากที่จะบำเพ็ญได้    คำพูดที่รื่นหูฟังแล้วสบายใจ    เวไนย์ต่างต้องการให้ผู้อื่นห่วงใย   และการเป็นคนแข็งกระด้างไม่ยืดหยุ่นเถรตรงก็ไม่เหมาะสม  จะต้องให้ความเมตตาต่อผู้อื่น   ผู้น้อยต้องรู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา   ให้มีความนอบน้อมเป็นที่น่าเอ็นดูของใครต่อใคร     ขอให้สุภาพสตรีมีจิตเมตตา   แต่อย่าได้มีความรักความสัมพันธ์แฝงเร้นอยู่   จะต้องแบ่งขอบเขตอย่างชัดเจน   มิฉะนั้นจะตกอยู่ในห้วงของความรัก    สามีภรรยาร่วมบำเพ็ญไปพร้อมกันก็จะไม่เกิดความยุ่งยาก


การตอบคำถามไขข้อสงสัย
1. ส่งคนป่วยไปโรงพยาบาล  ก็จะต้องเชื่อใจหมอ    หากไม่ไว้วางใจหมอก็ส่งต่อไปยังโรงพยาบาลอื่น    ระยะนี้ท่านอาวุโสป่วยหนังจนเลอะเลือน   ซึ่งถือเป็นวิบากกรรมส่วนตัว   จะต้องทำให้ญาติธรรมเชื่อมั่น   ให้ความช่วยเหลือ   เมื่อเจ็บป่วยก็ให้ทำทานสร้างบุญ   ผู้นำจะต้องบำเพ็ญกาย  วาจา  ใจ   เมื่อผู้อื่นเจ็บป่วยก็มักจะพูดว่าเป็นวิบากกรรมของเขา   วันข้างหน้าตนเองก็อาจจะเป็นบ้าง   และถูกคนอื่นพูดว่าเป็นกฎแห่งกรรม    เคยว่าเขาอย่างไร   เขาก็ว่าเรากลับเช่นนั้น
2. งานในอาณาจักรธรรมมีมากมาย   จะต้องดูแลระวังเรื่องสุขภาพให้ดี
3. ไม่ใจร้อน    ร้อนรา   เลือดลมก็จะไหลเวียนดี   เลือดลมไหลเวียนไม่ดี   เลือดก็จะเคลื่อนไหลไม่คล่อง  เชื้อโรคก็จะเติบโตได้เร็ว
4. ท่านเฉียนเหยินสิ้นบุญไปแล้ว   แต่ก็ยังสำแดงปาฏิหาริย์ไปทั่ว   เพื่อช่วยเหลืองานธรรม   มีคนกล่าวว่า "ยอมทุ่มเทถวายชีวิต   แม้ตายก็ไม่เสียดาย"   ผู้บำเพ็ญแม้จะสิ้นบุญไปแล้วแต่ก็ไม่เลิกละที่จะส่งเสริมธรรม
5. การบำเพ็ญธรรมอย่าได้ยึดถือในความคิดของตน   ไม่ยึดมั่นถือมั่นในอัตตา  ไม่มีอคติใด ๆ
6. ปฏิบัติงานธรรมมาจนถึงกาลโอกาสนี้  ผู้ที่สมควรบรรลุก็ได้บรรลุ   วิธีการที่จะหลุดพ้นจากกายสังขารของแต่ละคนไม่เหมือนกัน   จะต้องมองให้ทะลุปรุโปร่ง   มองด้วยใจปกติ   การรับความทุกข์ทรมานเป็นการลดกรรม  บรรลุกรรม  บรรลุปณิธาน
7. แม่ครัวควรจะปรุงอาหารที่น่ารับประทาน  มีประโยชน์ทำให้ผู้ที่ทานเจเกิดความเชื่อมั่น
    การพูดจาเพ้อเจ้อ  พูดจาโกหกทุกวี่ทุกวัน   ก็เหมือนกับการกินอาหารในปริมาณมาก   ย่อมส่งผลต่ออาณาจักรธรรม   จะต้องถือศีลห้าให้ครบถ้วน    จึงจะบรรลุมรรคผลได้     การบำเพ็ญจะต้องสั่งสมประสบการณ์   มิฉะนั้นก็จะเป็นเพียงแค่ผูกบุญสัมพันธ์   การถือศีลข้อหนึ่ง  ก็จะมีเทวาคุ้มครอง   หมั่นรักษาปากให้บริสุทธิ์    อนาคตจะได้เป็นผู้มีวาทศิลป์ดี  มีใบหน้า  บุคลิกที่งามสง่า

หมายเหตุ
1. การคลุกคลีหลงมัวเมาในสุรานารี   จะทำให้อนาคตมืดมน
2.กายใจสับสนวุ่นวาย   มักจะคิดถึงสิ่งที่ไม่เป็นความจริง
3. ล้มเหลวในหน้าที่การงาน   คอยคิดแต่หาวิธีผิดกฎหมาย   ทำให้ห่างไกลจากสิทธรรมห่างไกลจากอาณาจักรธรรม   อายตนะทั้งหกค่อย ๆมืดมน
    ผู้บำเพ็ญธรรม   ถือศีลห้าอยู่ในสภาพสังคมที่มีการเอารัดเอาเปรียบ   การปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยสูง  การพนัน   สังคมที่ล่อแหลม   จะต้องคอยปรับเปลี่ยนการดำเนินชีวิตของตนเองอยู่เสมอ   ก็จะไม่พบกับความยากลำบาก   มีเพื่อนร่วมบำเพ็ญธรรม
4. การหลงเมามันจนไม่ลืมหูลืมตา   ผู้ที่เข้าร่วมงานมงคลต่างก็ชื่นชอบในรูปกาม   จึงเรียกว่าสุรากาม  (ไม่ว่าชายใดต่อให้เป็นวีรบุรุษก็ยากที่จะก้าวพ้นด่านอิสตรี)   สามวันไม่ได้กินเนื้อก็น้ำลายหก  ไม่มีเรี่ยวแรง  น้ำลายฟูมปาก   จวนจะย่ำแย่อยู่แล้ว

หมายเหตุ
    จะต้องรักษากุศลมูลไว้ให้ดี  อย่าให้เสื่อมเสีย  ผู้ที่มีปัญญา  จะไม่ยึดติดกับสิ่งใด   ผู้รับวิถีธรรมทุกคน  ล้วนมีแรงกรรมในการบำเพ็ญ   จะต้องอาศัยพลังสมาธิมาเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิต   หากดวงชะตาไม่ถูกโฉลกกับสามีจะต้องมีจิตแน่วแน่ที่จะเปลี่ยนแปลงนิสัย    เพิ่มความมุ่งมั่นจึงจะมีพลัง
    พลังแห่งศักยภาพภายใน  เป็นผลมาจากการสร้างกรรม  ซึ่งซ่อนเร้นอยู่ในอาลยวิญญาณ  จะมีความฉับไว  วิบากกรรมจะปรากฏอยู่เบื้องหน้า  ผลวิบากกรรมนั้นมีตอบสนองช้าเร็วและหนักเบา   มีเพียงการบำเพ็ญเท่านั้น  จึงสามารถลดแรงกรรมได้   การถือศีลห้า  จะทำให้สามารถสร้างคุณความดีได้มากมาย
    โบราณกล่าวไว้ว่า   การคิดดอกเบี้ยต้องคิดไปตามวิถีของโลก   การปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยสูงนั้นมีความเสี่ยง    แต่ถ้าสะสมดอกเบี้ยไว้กับเบื้องบนก็จะไร้ความเสี่ยง
    หนี้ใครคนนั้นก็ต้องแบกรับ  ต้องชดใช้ด้วยตนเอง   ถ้าจะผ่าตัดก็จะต้องถามตนเองให้ดีก่อน  ไม่จำเป็นต้องมาปรึกษาอาจารย์    ดูแลรักษาสถานภาพของตนให้ดี   เมื่อกิเลสตัณหาเบาบางก็จะไม่คิดถึงเรื่องการลักทรัพย์   ไม่ปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยสูง  ก็จะไม่พบกับความล่มสลาย

ตอบคำถามไขปัญหา
1. ซื้อหนังแท้มาก็ให้ทิ้งไป   ถ้าเป็นหนังเทียมราคาถูกนั้นใช้ได้    หนังแท้ที่มาจากอิตาลี  ฮ่องกงนั้น  แพงมาก
2.  ให้วิเคราะห์เรื่องราวต่าง ๆ  แต่มิใช่วิพากษ์วิจารณ์ว่าใครถูกใครผิด   ใช้คำพูดในการสื่อสารที่ทำให้ผู้อื่นสามารถยอมรับได้   อย่าไปบีบบังคับให้เขาต้องยอมรับ
3. ฝึกบำเพ็ญ  พูดให้น้อย   เมื่อพบผู้น้อยมีเรื่องทุกข์ใจก็ต้องคอยปลอบโยน   คำพูดที่ให้กำลังใจ   ไม่พูดสุ่มสี่สุ่มห้า   ถ้าใช้คำพูดหลอกลวงด้วยเจตนาดีก็ไม่เป็นไร
4. ยามเจ็บป่วย   ใช้เหล้าเป็นกระษัยยาได้   แต่อย่าให้ถึงขั้นมึนเมา  และใช้เหล้าผสมเป็นยาทาภายนอกได้
5. บำเพ็ญปฏิบัติด้วยความสุขสงบ   อย่าเน้นหนักไปในเรื่องกิน  อย่ากินของหมักดอง(อาหารที่ไม่มีประโยชน์)   ปัจจุบันมีอาหารเจมากมาย   ก็ให้คัดเลือกทานสิ่งที่ดีต่อสุขภาพ
    ระบบโครงสร้างสรีระของร่างกาย   มนุษย์เป็นสัตว์ที่มีเลือดเนื้อและจิตใจ   จะต้องบำเพ็ญให้ลดละกิเลสตัณหา   ใช้การสวดมนต์ท่องบทความพระศรีอาริยเมตตรัย   ท่องพระนามพระพุทธะเพื่อสยบใจให้บริสุทธิ์สงบ   ขจัดกิเลสตัณหาในใจออกไป
    อย่าได้มีความสัมพันธ์ฉันท์ชายหญิงก่อนแต่งงาน   การกระทำที่ปฏิบัติต่อบุคคลที่ไม่ใช่สามีภรรยา  ถือเป็นการผิดศีล
    หากไม่สามารถบำเพ็ญพรหมจรรย์ได้   ก็ให้หาคู่ครองที่ดีที่สามารถร่วมบำเพ็ญธรรมกันได้   และใช้กุศโลบายในการจัดการ
    หากพบคนงามจะต้องเก็บใจกลับมา   คนเราจะต้องศึกษาหาความรู้เจนจบก่อน   จึงจะดำรงใจให้เที่ยงตรงได้   
    จะต้องหาวิธีการลดละกิเลสตัณหา   จะต้องรู้จักทดแทนคุณ    นำจิตญาณตนออกมาใช้   โดยคิดว่าคนเหล่านี้เป็นพ่อแม่ของตนในอดีตชาติ
    หมั่นขัดเกลาบำเพ็ญวจีกรรม    อย่าได้กล่าวว่าคนอื่นสุ่มสี่สุ่มห้า   สุภาพชนจะต้องใช้บารมีธรรม(ปากมีไว้ให้บรรยายหลักคุณธรรมศีลธรรม)   มองแต่ข้อดีของผู้อื่นก็พอ    อายุมากแล้วต้องบำเพ็ญภายใน   มิฉะนั้นชีวิตก็จะสูญเปล่า   จะทนรับบาปกรรมไม่ไหว   ดังนั้นจะต้องบำเพ็ญธรรมด้วยความจริงใจ  (หากมีบัญชีหางว่าวก็จะไม่สามารถบรรลุมรรคผลได้



ปกหลัง
พุทธมารดากวนอิมสนองกาล    เหล่าพุทธาประสานร่วมช่วยกัน
งานยุคสามปลายกัปสมบูรณ์พลัน        พิทักษ์สิทธรรมตรงกัปกาล


ศุภนิมิต แปลและเรียบเรียง