หัวข้อ: เอกธรรมมรรค เริ่มหัวข้อโดย: Witeejit ที่ พฤศจิกายน 02, 2011, 06:13:55 PM (http://pic.96rangjai.com/i/nX.jpg) (http://pic.96rangjai.com/index.php?mod=show&id=494)
เอกธรรมมรรค เมื่อท่านฮุ่ยเหนิงเห็นว่าถึงเวลาเผยแพร่ธรรมะ จึงเดินทางมาถึงวัดฝ่าซิ่งแห่งนครกว่างตง ในขณะนั้นพระธรรมาจารย์อิ้นจงซึ่งเป็นเจ้าอาวาสกำลังเทศนา ว่าด้วยมหาปรินิรวาณสูตร และธงริ้วกำลังโบกสะบัดพริ้วๆ พระภิกษุสองรูปก็โต้เถียงกันว่า “ผมว่าธงกำลังสั่นไหว” “หลวงพี่เข้าใจผิด แท้ที่จริงลมมันไหวต่างหาก” พระทั้งสองรูปต่างโต้เถียงไม่ยอมแพ้แก่กัน และไม่มีทีท่าว่าจะตกลงกันได้ เพราะต่างยึดถือความเห็นของตนเองเป็นใหญ่และถูกต้อง ท่านฮุ่ยเหนิงจึงเสนอข้อตัดสินว่า “ผมว่าท่านทั้งสองเข้าใจผิดแล้ว สิ่งที่สั่นไหวนั้นไม่ใช่ธงและลม แท้ที่จริงเป็นจิตของท่านทั้งสองต่างหาก” ที่ประชุมในขณะนั้นต่างตื่นตะลึงต่อถ้อยคำของท่านฮุ่ยเหนิง เจ้าอาวาสอิ้นจงจึงอาราธนาให้ขึ้นนั่งบนอาสนะอันสูง แล้วซักถามปัญหาสำคัญๆ ในพระสูตรต่างๆ เมื่อได้รับคำตอบอันชัดแจ้งซึ่งมีค่าสูงกว่าความรู้ที่ได้จากตำรา พระธรรมาจารย์อิ้นจงจึงกล่าวว่า “ท่านต้องเป็นบุคคลที่มิใช่ธรรมดา อาตมาได้ฟังข่าวมานานแล้วว่า บุคคลผู้ซึ่งได้รับมอบผ้ากาสาวพัสตร์ และธรรมะจากพระสังฆปริณายกองค์ที่ห้า บัดนี้ได้เดินทางลงมาทางทิศใต้เห็นทีท่านจะเป็นบุคคลผู้นั้นแน่แล้ว” ท่านฮุ่ยเหนิงแสดงกริยาตอบรับโดยอ่อนน้อม เจ้าอาวาสอิ้นจงจึงทำความเคารพ และขอให้นำเอาผ้าและบาตรที่ได้รับมอบออกมาให้ที่ประชุมดู พร้อมทั้งซักถามว่า “เมื่อครั้งที่พระสังฆปริณายกองค์ที่ห้ามอบธรรมะอันเร้นลับ สำหรับพระสังฆปริณายกให้แก่ท่านนั้น ท่านได้รับคำสั่งสอนอย่างใดบ้าง” “นอกจากการชี้ให้เห็นแจ้งชัดในธรรมญาณแล้ว ท่านมิได้ให้คำสอนอะไรเลย ท่านมิได้เอ่ยแม้คำว่าฌาณและวิมุติ” ท่านฮุ่ยเหนิงตอบ “เอ๊ะ ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น” อาจารย์อิ้นจงสงสัย “เพราะมันจะทำให้เกิดความหมายว่า มีหนทางขึ้นทั้งสองหนทาง ในทางพุทธธรรมจะมีสองทางไม่ได้ มันมีแต่ทางเดียวเท่านั้น” “ที่ว่ามีแต่ทางเดียวนั้นคืออะไร อาจารย์อิ้นจงถาม “ก็ในมหาปรินิรวาณสูตรที่ท่านเทศนาอยู่นั่นเองก็ชี้ให้เห็นอยู่แล้วว่า ธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะของทุกคน นั่นแหละคือทางเดียว ตัวอย่างตอนหนึ่งของพระสูตรนั้นมีว่าพระเจ้าเกากุ้ยเต๋อ ซึ่งเป็นพระโพธิสัตว์องค์หนึ่ง ได้กราบทูลถามพระพุทธเจ้าว่า พระภิกษุผู้ล่วงปาราชิกสี่อย่างหรือทำอนันตริยกรรมห้าอย่าง และพวกมิจฉาทิฏฐินอกศาสนาก็ดี คนเหล่านี้จะได้ชื่อว่าถอนรากเง่าแห่งความมืด และทำลายธรรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะของตนเสียแล้วโดยสิ้นเชิงหรือไม่ พระพุทธเจ้าได้ตรัสตอบว่า รากเง่าแห่งความดีนั้นมีอยู่สองชนิดคือ ถาวรตลอดอนันตกาล กับไม่ถาวร แต่ธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะนั้น จะเป็นของถาวรตลอดอนันตกาลก็ไม่ใช่จะว่าไม่ถาวร ก็ไม่ใช่ เพราะฉะนั้นรากเง่าแห่งความดีของเขาจึงไม่ถูกถอนขึ้นโดยสิ้นเชิง ท่านฮุ่ยเหนิงได้อธิบายสืบต่อไปว่า “บัดนี้เป็นที่ชัดเจนแล้วว่าพุทธธรรมมิได้มีสองทาง แต่ที่ว่ามีทางฝ่ายดีและฝ่ายชั่วนั้นจริงอยู่ แต่เหตุเพราะธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะเป็นของไม่ดี ไม่ชั่ว เพราะฉะนั้นพุทธธรรมจึงไม่มีถึงสองทาง ตามความคิดของปุถุชนย่อมเข้าใจว่าส่วนย่อยๆ ของขันธ์และธาตุทั้งหลาย ย่อมแบ่งออกเป็นสองทาง แต่ผู้ที่บรรลุธรรมแล้วย่อมเข้าใจได้ว่า สิ่งเหล่านั้นตามธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะไม่เป็นของคู่เลย” เหตุแห่งปาราชิกมี ๔ อย่างคือ ๑. เสพสังวาสกับมนุษย์หรือสัตว์ทั้งที่มีชีวิตหรือเป็นศพ ๒. ฆ่ามนุษย์ ๓. ขโมยหรือคดโกงทรัพย์ตั้งแต่ ๑ บาสก ๔. อวดธรรมวิเศษที่ไม่มีในตนเอง ความชั่วที่ถือว่าเป็นอนันตริยกรรมมีอยู่ ๕ อย่างคือ ๑.ฆ่าพ่อ ๒.ฆ่าแม่ ๓.ฆ่าพระอรหันต์ ๔.ทำให้เกิดสังฆเพทคือพระสงฆ์แตกแยก ๕.ทำให้พระพุทธองค์ห้อพระโลหิต กรรมทั้งห้าประการนี้ถือว่าหนักหนาสาหัสที่สุด แต่ธรรมชาติของพระพุทธะก็มิได้ถอนทิ้งไปจากใครเลย ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดก็คือ พระโมคคัลลานะ ซึ่งเป็นพระอัครสาวกเบื้องซ้ายของพระพุทธองค์ ได้รับคำสรรเสริญว่าเป็นผู้ที่เลิศฤทธิ์ ในอดีตชาติเคยกระทำ ปิตุฆาต และ มาตุฆาต คือฆ่าพ่อแม่ของตนเอง เพราะหลงคำยุยงของภริยาที่รังเกียจพ่อแม่ตาบอด พระโมคคัลลานะ จึงลวงพ่อแม่ของตนไปฆ่าด้วยการผลักตกเหว ด้วยอนันตริยกรรมในครั้งนั้น มีผลให้พระโมคคัลลานะต้องตกอยู่ในอเวจีนรกนับเป็นกัปกัลป์ ต่เมื่อมาเกิดเป็นพระโมคคัลลานะก็ได้บวชในพระพุทธศาสนา และสำเร็จเป็นพระอรหันต์ พระโมคคัลลานะระลึกอดีตชาติได้อย่างนี้ จึงยอมให้โจรจับแล้วทุบด้วยท่อนไม้จนกลายแหลกและละเอียดดับขันธ์ปรินิพพาน แต่สภาวะแห่งธรรมญาณเดิมมิได้แหลกละเอียดไปด้วย กายเนื้อถูกทำลาย แต่เพียงอย่างเดียว ธรรมชาติของธรรมญาณ ไม่มีใครทำลายลงไปได้ เพราะฉะนั้นไม่ว่าจิตก่อกรรมหนักเพียงใด ก็ไม่มีผลแห่งการเปลี่ยนแปลงธรรมชาติของธรรมญาณเลย ธรรมญาณ เป็น ธรรมะอันแท้จริงของตนเอง เพราะฉะนั้นจึงเป็นแต่เพียงหนทางเดียว มิได้เป็นหนทางคู่ เพราะไม่มีการเปลี่ยนแปลงสภาวะดั้งเดิมของธรรมญาณ ทำไมจึงเป็นอย่างนี้ คำตอบน่าจะอยู่ที่ว่า เพราะธรรมญาณ เป็น อสังขตธรรม ไม่มีรูปลักษณ์ใดๆ เพราะเหตุนี้จึงไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้เลย หนทางอันแท้จริง ของธรรมญาณจึงเป็น “เอกธรรมมรรค” |