หัวข้อ: หัวใจของการกินเจมี 3 ประการ เริ่มหัวข้อโดย: admin ที่ สิงหาคม 01, 2011, 10:42:56 PM หัวใจของการกินเจมี 3 ประการ 1. กินเจเพื่อฝึกเมตตา 2. กินเจเพื่อตัดกรรม 3. กินเจเพื่อสุขภาพ :lQ1:กลุ่มใดจะบำเพ็ญประโยชน์ต่อสังคม เพื่อนร่วมโลก ถือศีลเจริญเมตตาธรรมก็ฝึกไป กลุ่มใดจะบวช บำเพ็ญศึกษาสัจธรรมตัดกรรมก็อยู่วัด อยู่วาไป กลุ่มใดจะอ้างอิงวิทยาศาสตร์ วิชาการ เน้นสุขภาพ ก็เน้นไปถนัดอย่างใดก็รณรงค์อย่างนั้น แต่การเป็นคนไทย ขึ้นชื่อได้ว่าเป็นเมืองแห่งแผ่นดิน ธรรมแผ่นดินทอง ประเทศไทยมีวัดอยู่ทั่วประเทศเยอะแยะ ไปหมด คนไทยชอบทำบุญ แต่ถ้าถามคนไทยว่าทำบุญเพื่อ อะไร ? ทุกคนก็จะตอบเหมือนกันหมดว่า “ทำบุญเพื่อเอา ไว้กินชาติหน้า” น้อยรายที่จะตอบว่า “ทำบุญเพื่อขจัดจิต โลภของตัวเอง เพื่อฝึกตัวเองให้รู้จักการให้บ้าง” ฉะนั้น การตอบจะมี 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งเอาไว้กินชาติ หน้าก็เพื่อตัวเอง อีกกลุ่มหนึ่งให้คนอื่น แสดงว่ากลุ่มแรก ต้องเวียนว่ายตายเกิดและมาเสวยบุญของตัวเอง ส่วนกลุ่มที่ สองไม่ต้องการเกิด เพราะไม่ได้หวังไว้ให้ตัวเอง คือทำเพื่อคน อื่น การทำเพื่อคนอื่นก็คือ..พระโพธิสัตว์ คุณลักษณะการ ที่จะได้เป็นพระโพธิสัตว์คือมีเมตตาเป็นหลักนั่นเอง การเกิดเป็นคน ถ้าไม่เข้าใจสัจธรรมการเกิดตาย ไม่ เข้าใจการเวียนว่ายตายเกิด ว่ามันเป็นทุกข์เพียงไหน ? ก็ เห็นทีจะเสียชาติเกิด อยู่เมืองพุทธซะเปล่า แต่ไม่รู้จักศึกษา หลักธรรม กฎของธรรมชาติ สัจธรรมกับธรรมชาติก็คือ..ธรรมะ นั่นเอง แต่ถ้าพูด รวมๆ กันแล้ว ทั้งสองกลุ่มล้วนแล้วแต่ฝึกเมตตาได้ด้วยกัน ทั้งนั้น เรามาฝึกเมตตาต่อสัตว์โลกกัน คำว่าสัตว์โลกไม่ได้ หมายความว่าสัตว์เดรัจฉานเท่านั้น แต่หมายถึงทุกชีวิตในโลก มนุษย์เราก็เป็นสัตว์โลกเช่นกัน เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าเวไนย สัตว์ ลองดูซิ ! เราเดินข้ามสะพานลอยในกรุงเทพฯ เราจะ เจอขอทานบ่อยๆ ทั้งต้นสะพานและปลายสะพาน บางครั้ง กลางสะพานก็มีด้วย ฝึกเมตตาอย่างง่ายๆ เราเคยให้เศษ สตางค์กับเขาเหล่านี้ไหม ? เคยฝึกการเป็นผู้รู้จักการให้กัน บ้างไหม ? การให้ง่ายๆ แบบนี้เป็นเรื่องใกล้ตัวที่เรามองข้าม และในการให้ลักษณะนี้ยังมีข้อจำกัดด้วยว่าเราจะให้เศษสตางค์ กับขอทานที่อยู่ต้นสะพานหรือปลายสะพาน หรือให้เฉพาะที่ อยู่กลางสะพาน หรือให้คนที่ 1 แล้วไม่ให้คนที่ 2 ที่ 3 หรือ ให้ทั้ง 3 คน แล้วถ้าเราไปเจออย่างนี้อีกที่สะพานลอยอื่น เรา ยังมีเมตตาอยู่ไหม ? มีความสงสารอยู่ไหม ? ยังอยากให้ เศษสตางค์เขาเหล่านั้นอยู่หรือเปล่า ? ช่วงท้ายเราก็จะมา คิดว่าถ้าให้เขามากเราก็จะเดือดร้อน การทำบุญให้ทาน ทำบุญอย่างไรไม่ให้เราเดือดร้อน นี่แสดงให้เห็นว่าความเมตตาของมนุษย์มีขีดจำกัด แต่พระ อริยเจ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกพระองค์ที่พ้นจากอาสวะกิเลสทั้งหลาย เมตตาของท่านไร้ขีดจำกัด โดยเนื้อแท้ลึกๆ แล้ว มนุษย์มี เมตตา มีความสงสารเป็นทุนเดิมทุกคน แต่ไม่ค่อยนำออก มาใช้ จวนตัวจริง ๆ จึงจะแสดงออกมาตัวอย่างเช่น ถ้าเรา นั่งรถยนต์ โดยมีเพื่อนเป็นคนขับไปตามถนน หากบังเอิญ มีสุนัขวิ่งตัดผ่านหน้ารถในระยะกระชั้นชิด เราเห็นว่าชนแน่ๆ คนแรกที่จะตะโกนบอกกับคนขับอย่างตกอกตกใจว่า “ระวัง ชนสุนัข” ก็คือเรานั่นเอง อย่างนี้สงสารกับเมตตาเกิดขึ้นเอง โดยอัตโนมัติ เห็นหรือเปล่าว่า ลึกๆ แล้วทุกคนไม่ต่างกันเลย เราบอกว่าเราชอบทำบุญ ชอบไปวัด ทุกครั้งที่ไปวัด เราเคยคิดไหมว่า... เราเอาอะไรไปให้พระฉัน ลองเปิดปิ่นโต ของตัวเองดูซิเต็มไปด้วยปลา เป็ด ไก่ หมู เนื้อ ทั้งนั้นเลย การทำบุญอย่างนี้เราเอาอะไรมารับรองว่า...เราได้บุญจริง กุศลแท้ เหตุและผลอยู่ตรงไหน ความถูกต้องคืออะไร ? ปัจจุบันเราดำเนินชีวิตอยู่ตามความถูกใจไม่ใช่ถูกต้อง เหตุเพราะไม่รู้ ไม่ศึกษาธรรมะอันลึกซึ้ง มีชีวิตเกาะติดอยู่ กับเปลือกของศาสนา ทั้งที่พระพุทธองค์ทรงสอนให้ละเว้น การฆ่า ลองท่องศีลข้อ 1 ดูซิ !... ( ปาณาติปาตา เวรมณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ ) (http://pic.96rangjai.com/i/Cy.jpg) (http://pic.96rangjai.com/index.php?mod=show&id=267) |