96เสวนาธรรมบำเพ็ญ

เสวนาธรรม-พูดคุย => บำเพ็ญธรรมกับการกินเจ => ข้อความที่เริ่มโดย: admin ที่ กรกฎาคม 27, 2011, 05:06:14 PM



หัวข้อ: อานิสงส์ของการไม่กินเนื้อสัตว์ 10 ประการ
เริ่มหัวข้อโดย: admin ที่ กรกฎาคม 27, 2011, 05:06:14 PM
อานิสงส์ของการไม่กินเนื้อสัตว์
ในพระสูตรของพระพุทธศาสนามหายานเล่าว่า

(http://pic.96rangjai.com/i/5n.jpg) (http://pic.96rangjai.com/index.php?mod=show&id=94)

       “สมัยหนึ่ง...องค์สมเด็จพระบรมศาสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เสด็จไปเทศนาโปรดบรรดาเหล่าพญานาคทั้งหลาย พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสธรรมกถาวิสัชนาแสดงแก่พญานาคราชความว่า...

        "บุคคลใดหยุดการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต และงดเว้นเสียจากการเสพเลือดเนื้อสัตว์ อีกทั้งยังชี้นำส่งเสริมให้หมู่ชนทั้งหลายหยุดฆ่า หยุดเสพชีวิตเลือดเนื้อผู้อื่น บุคคลผู้นั้นย่อมห่างไกลจากอกุศลมูลทั้งปวง และบริบูรณ์พร้อมด้วยอานิสงส์ทั้ง 10 ประการอันได้แก่:

อ้างถึง
1. เป็นที่รักใคร่ของบรรดาเทพ พรหมตลอดจนมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย
2. จิตอันเป็นมหาเมตตาย่อมบังเกิดขึ้น
3. สามารถตัดขาดความอาฆาต ดับอารมณ์เหี้ยมโหด เคียดแค้น ในใจลงได้
4. ปราศจากโรคภัยร้ายแรงมาเบียดเบียนร่างกาย
5. มีอายุมั่นขวัญยืน
6. ได้รับการปกป้องคุ้มครองจากวัชรเทพทั้งแปด
7. ยามหลับนิมิตรเห็นแต่สิ่งที่ดีงามเป็นศิริมงคล
8. ย่อมระงับการจองเวร สลายความอาฆาตแค้นซึ่งกันและกัน
9. สามารถดำรงอยู่ในกระแสแห่งนิพพาน ไม่พลัดหลงตกลงสู่อบายภูมิ
10. ทันทีที่ละสังขารจากโลกนี้ จิตญาณจะมุ่งสู่คติภพ"


หัวข้อ: Re: อานิสงส์ของการไม่กินเนื้อสัตว์ 10 ประการ
เริ่มหัวข้อโดย: admin ที่ กรกฎาคม 27, 2011, 05:20:28 PM
(http://pic.96rangjai.com/i/Ea.jpg) (http://pic.96rangjai.com/index.php?mod=show&id=95)


อธิบายอานิสงส์ 10 ข้อ ของการไม่กินเนื้อสัตว์


(http://pic.96rangjai.com/i/N.jpg) (http://pic.96rangjai.com/index.php?mod=show&id=96)

1.เป็นที่รักใคร่ของบรรดาเทพ พรหม
ตลอดจนมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย


        บุคคลผู้ที่มีจิตใจโอบอ้อมอารี ไม่เบียดเบียนผู้ใด มีกิริยาสำรวม จรรยามารยาทเรียบร้อย ไม่กล่าวคำกระโชกด่าทอกับใครทั้งสิ้น บุคคลเช่นนี้เมื่อก้าวไปสู่แห่งหนใด ย่อมเป็นที่รักใคร่ มีแต่คนอยากเข้ามาใกล้ชิด
        ในทางตรงกันข้าม หากเป็นคนที่สะสมไว้แต่อารมณ์ร้ายๆ แววตาเต็มไปด้วยกลิ่นไอแห่งการ “ฆ่า” บุคคลเช่นนี้ไปถึงที่ไหน แม้ไม่ต้องถือมีดเข้ามาให้เห็นทุกคนก็อยากจะวิ่งหนีไปให้ไกล

        มีตำนานชาดกโบราณเล่าว่า สมัยหนึ่งในอดีต นับย้อนไปเป็นเวลา 500 ชาติ ก่อนที่พระพุทธองค์จะตรัสรู้ ในเวลานั้นพระองค์ออกบวชเป็นดาบสมีนามว่า “ขันติ” พำนักอยู่ในป่าลึกเพื่อบำเพ็ญธรรม
        มีอยู่วันหนึ่ง เหล่านางสนมของท้าวเทวทัตผู้เป็นราชาได้พลัดหลงขณะที่ตามเสด็จพระพาสป่าทั้งหมดจึงพากันดั้นด้นไปจนกระทั่งพบพระดาบสกำลังเจริญภาวนาอยู่อย่างสงบ มีลักษณะอันสง่างดงาม แต่ทว่าใกล้ๆกันนั้นเต็มไปด้วยสัตว์ป่านานาชนิดมาห้อมล้อมอยู่โดยรอบ ในบรรดาสัตว์เหล่านั้นมีทั้ง เสือ สิงห์โต ซึ่งเป็นสัตว์ที่ดุร้าย แต่ช่างน่าประหลาดที่มันกลับดูเชื่องและอ่อนโยน มิได้ลุกขึ้นวิ่งไล่ทำร้ายแม้ กระต่าย กระรอก นก ซึ่งมาหากินอยู่ใกล้ๆ
        บรรดานางสนมจึงได้พากันเข้าไปกราบนมัสการพร้อมกับทูลถามพระดาบสว่า “ท่านปฏิบัติธรรมบำเพ็ญเพียรอยู่ในป่าลึกเช่นนี้ไม่กลัวสิงสาราสัตว์ที่ดุร้ายมาทำอันตรายหรอกหรือ?”

พระดาบสจึงตรัสตอบว่า...

อ้างถึง
“เมื่อภายในจิตของเรา ไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวธุลีของความคิดที่จะไปเบียดเบียนทำลายชีวิตผู้อื่น เช่นนี้แล้วย่อมจะไม่เป็นที่หวาดกลัวหรือตื่นตระหนกต่อผู้ใด ฉะนั้นสัตว์ร้ายทั้งหลายย่อมไม่ทำอันตรายแก่เรา”

      พระธรรมโอวาทบทนี้ ยังคงปรากฏเป็นจริงแม้ในกาลปัจจุบัน ดังปรากฏตัวอย่างที่..ประเทศไต้หวัน มีเด็กหญิงเล็กๆหนึ่ง ทุกวันยามเช้าตรู่เธอจะนำเอาเมล็ดข้าวไปหว่านให้นกกระจอกกินเป็นประจำ นานวันเข้า เมื่อพบหน้าบรรดานกกระจอกเหล่านั้นก็จะพากันโผบินเข้ามาหยอกเย้ากระโดดโลดเต้นและเกาะอยู่ตามตัวของเธอ นี่ก็เป็นเพราะแม่หนู่น้อยเป็นผู้ที่มีจิตเมตตาโดยแท้ การกระทำของเธอจึงเป็นการผูกบุญบารมีแห่งเมตตาไว้กับสัตว์ทั้งหลาย ด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ และปราศจากสิ่งเคลือบแฝงใดๆ