ตอบ
ยินดีต้อนรับสู่ฟอรั่ม 96 เสวนาธรรมบำเพ็ญ
กรุณา ลงทะเบียน เพื่อสามารถใช้งานฟอรั่มได้อย่างเต็มรูปแบบ !
ลงทะเบียนโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายและใช้เวลาเพียงเล็กน้อย

"โดยพื้นฐานธรรมชาติเดิมแท้ของตัวเรา
เป็นสิ่งที่บริสุทธิ์และสะอาด
ถ้าเรารู้จิตของเราและเห็นถึงธรรมชาติเดิมแท้ของเรา
เราทั้งหลายก็จะบรรลุถึงความเป็นพุทธะ"

You are here: 96เสวนาธรรมบำเพ็ญ » ธรรมะเป็นยาวิเศษ » คัมภีร์ » ตอบ (

Re: คัมภีร์ม่อจื๊อ

)
ตอบ
คำเตือน: หัวข้อนี้ไม่มีการตอบกระทู้ อย่างน้อย 120 วัน
คุณแน่ใจหรือไม่ ที่จะตอบกระทู้, กรุณาพิจารณาเริ่มหัวข้อใหม่
ชื่อ:
อีเมล์:
หัวข้อ:
ไอค่อนข้อความ:
ตัวหนาตัวเอียงตัวขีดเส้นใต้ตัวมีขีดกลาง|ตัวเรืองแสงตัวมีเงาตัวอักษรวิ่ง|จัดย่อหน้าอิสระจัดย่อหน้าชิดซ้ายจัดย่อหน้ากึ่งกลางจัดย่อหน้าชิดขวา|เส้นขวาง|ขนาดตัวอักษรแบบตัวอักษร
ใส่แฟลชใส่รูปHighslide Imageใส่ไฮเปอร์ลิ้งค์ใส่อีเมล์ใส่ลิ้งค์ FTP|ใส่ตารางใส่แถวของตารางใส่คอลัมน์ตาราง|ตัวยกตัวห้อยตัวพิมพ์ดีด|ใส่โค้ดใส่การอ้างถึงคำพูด|ใส่ลีสต์
ธรรมะ
 

shortcuts: กด alt+s เพื่อตั้งกระทู้ หรือ alt+p แสดงตัวอย่าง

dookdik_greenTea_14 dookdik_greenTea_8 dookdik_greenTea_20 dookdik_greenTea_18 dookdik_greenTea_12 dookdik_greenTea_11 dookdik_greenTea_2 dookdik_greenTea_9 dookdik_greenTea_4 dookdik_greenTea_7 dookdik_greenTea_5 dookdik_greenTea_15 dookdik_greenTea_10 dookdik_greenTea_16 dookdik_greenTea_19 dookdik_greenTea_13 dookdik_greenTea_1 dookdik_greenTea_17 dookdik_greenTea_3 family3 family1 family2 family4 ร้อน [เพิ่มเติม]
รหัสโค๊ด
พิมพ์อักขระ ตามที่คุณเห็นในภาพ วิธีการนี้จะช่วยป้องกันการโพสต์กระทู้โดยอัตโนมัติ


+ ตัวเลือกเพิ่มเติม...
สามารถอัพโหลดได้หลายรูปพร้อมกัน
Support File :
jpg, jpeg, gif, png Size 2MB



สรุปหัวข้อ
ข้อความเมื่อ: สิงหาคม 03, 2011, 10:21:56 PM
ข้อความโดย: admin
คัมภีร์ม่อจื๊อ

"ม่อจื้อ"

แนวคิดบางส่วนของนักคิด นักปรัชญา นักการเมืองในสมัยชุนชิว-จ้าน-กว๋อ ที่มีนามว่า "ม่อจื้อ"


ใครดีกว่ากัน

 lQ1......อู๋หม่าจือถามม่อจื้อว่า "แม้ว่าท่านจะรักบ้านเมืองหนักหนา แต่บ้านเมืองก็ไม่เห็นได้ประโยชน์จากท่าน แม้ว่าข้าพเจ้า

จะไม่รักบ้านเมือง แต่บ้านเมืองก็ไม่เคยได้รับผลร้ายอะไรจากข้าพเจ้า ต่างไม่มีผลเหมือนกัน แล้วทำไมท่านจะต้องนึกอยู่

เรื่อยว่า ความคิดของท่านเป็นความคิดที่ถูกต้อง ความคิดของข้าพเจ้าเป็นความคิดที่ผิด?"
......ม่อจื้อตอบว่า "สมมติว่าเวลานี้ มีคน ๆ หนึ่งมาวางเพลิงที่นี่ แล้วก็มีคนอีกคนหนึ่งรีบหิ้วน้ำเตรียมจะมาช่วยดับไฟ

ขณะเดียวกันก็มีคนอีกคนหนึ่งถือเชื้อเพลิงเตรียมจะมาโหมไฟให้แรงขึ้น การตั้งท่าของคนสองคนนี้ต่างไม่มีผลอะไรต่อ

เพลิงที่กำลังลุกไหม้ แต่ในความรู้สึกของท่าน ท่านคิดว่าคนสองคนนี้ ใครดีกว่ากัน?"
......อู๋หม่าจือตอบว่า "ข้าพเจ้าคิดว่าคนที่หิ้วน้ำเตรียมจะช่วยดับไฟนั้นมีเจตนาที่ถูกต้อง ส่วนคนที่ถือเชื้อเพลิงเตรียม

กระพือไฟให้ลุกแรงนั้นมีเจตนาที่ไม่ถูกต้อง"
......ม่อจื้อกล่าวว่า "เหตุผลเดียวกัน ข้าพเจ้าก็รู้สึกว่าเจตนาของข้าพเจ้านั้นถูกต้อง และเห็นว่าเจตนาของท่านนั้นไม่ถูกต้อง"


โรคบ้า

 lQ2......อู๋หม่าจือกล่าวกับม่อจื้อว่า "ท่านพิทักษ์ความถูกต้องชอบธรรม ก็ไม่เห็นว่าคนอื่นเขาจะเคารพนับถืออะไรท่าน ผีสาง

เทวดาก็ไม่เห็นดลบันดาลความสุขความเจริญอะไรให้ท่าน แต่ท่านก็ยังจะทำอีก ช่างเป็นโรคบ้าแท้ๆ"
......ม่อจื้อกล่าวว่า "สมมติว่าท่านมีคนรับใช้อยู่สองคน คนหนึ่งเห็นท่านจึงจะทำงาน ไม่เห็นท่านก็ไม่ทำงาน ส่วนอีกคนหนึ่ง

เห็นท่านเข้าก็ทำงาน ไม่เห็นท่านเขาก็ยังทำงาน คนรับใช้สองคนนี้ ท่านชอบคนไหน?"
......อู๋หม่าจือตอบว่า "ข้าพเจ้าย่อมชอบคนที่เห็นข้าพเจ้าก็ทำงาน ไม่เห็นข้าพเจ้าเขาก็ยังทำงาน"
......ม่อจื้อกล่าวว่า "ถ้าเช่นนั้น ท่านก็ชอบคนบ้าเหมือนกันนะซี"


วิจารณ์ขงจื้อ

 lQ3......เย่กงจื่อเกา มหาอำมาตย์แห่งแคว้นฉู่ถามขงจื้อถึงนโยบายทางการเมืองว่า "นักการปกครองที่สามารถ ควรจะมีนโย

บายทางการเมืองเช่นไร?"
......ขงจื้อตอบว่า "นักการปกครองที่สามารถ จะต้องทำให้ผู้ที่ห่างไกลเข้ามาชิดใกล้ ขึ้นต่อ ทำให้ลูกน้องเก่าปรับปรุง

เปลี่ยนแปลงตนเองเสียใหม่"
......หลังจากได้ยินคำสนทนาเหล่านี้แล้ว ม่อจื้อก็วิจารณ์ว่า "เย่กงจื่อเกาตั้งคำถามไม่เหมาะสม ขงจื้อก็ตอบไม่ถูก ทำไม

เย่กงจื้อเกาจะไม่ทราบเล่าว่า ผู้ที่สันทัดในการปกครองจะต้องทำให้ผู้ที่ห่างไกลหันกลับมาชิดใกล้ ขึ้นต่อ และทำให้ลูก

น้องเก่าๆ ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตนเองเสียใหม่ ในเมื่อรู้แล้ว ยังจะถามขงจื้อทำไมอีกเล่า? ส่วนขงจื้อเล่า ก็ไม่นำความรู้

ที่คนอื่นยังไม่รู้ไปบอกให้เขารู้ แต่ดันตอบในสิ่งที่คนอื่นเขารู้อยู่แล้ว แล้วมันมีประโยชน์อันใดเล่า เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึง

เห็นว่าเย่กงจื่อเกาตั้งคำถามได้ไม่เหมาะสม ส่วนขงจื้อก็ตอบไม่ถูก"



อุปสรรคที่ขัดขวางความรักอันไพศาล

 lS3......อู๋หม่าจือกล่าวกับม่งจื้อว่า "ข้าพเจ้าไม่เหมือนท่าน ข้าพเจ้าไม่สามารถมีความรักอันไพศาล ข้าพเจ้ารักชาวโจว

มากกว่าชาวแย่ รักชาวหลู่มากกว่าชาวโจว รักคนบ้านเดียวกันมากกว่าชาวหลู่ รักคนในบ้านมากกว่าคนนอกบ้าน รักพ่อ

แม่มากกว่าญาติพี่น้อง รักตัวเองมากกว่ารักพ่อแม่ เพราะว่าคนที่ยิ่งใกล้ชิดข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็ยิ่งเอาใจใส่อย่างลึกซึ้ง

การที่มนุษย์รักคนที่ใกล้ชิดกับตนเองนั้น มันเป็นเรื่องธรรมดา
......"ถ้าหากข้าพเจ้าถูกทุบตี ข้าพเจ้าย่อมรู้สึกเจ็บปวด แต่ถ้าคนอื่นถูกทุบตีข้าพเจ้าย่อมไม่รู้สึกเจ็บปวด ในเมื่อเป็นเช่นนี้

แล้วทำไมข้าพเจ้าจะไม่ปกป้องตรงที่รู้สึกเจ็บปวดแต่กลับจะไปปกป้องไอ้ตรงที่ไม่รู้สึกเจ็บปวดเล่า?
......"ด้วยเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงต้องฆ่าคนอื่นเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง ไม่มีทางฆ่าตัวเองเพื่อผลประโยชน์ของผู้อื่นโดย

เด็ดขาด"
......ม่อจื้อกล่าวว่า "ความคิดแบบนี้ของท่าน ท่านเตรียมจะเก็บมันไว้ในใจคนเดียว หรือคิดจะเผยแพร่ไปสู่ผู้อื่น?"
......อู๋หม่าจือตอบว่า "ทำไมข้าพเจ้าจะต้องอำพรางซ่อนแร้นความคิดอ่านของตนเอง ข้าพเจ้าจะเผยแพร่ให้สาธารณชน

รับทราบ"
......ม่อจื้อกล่าวว่า "ถ้าเช่นนั้น สมมติว่า มีคนๆ หนึ่งเกิดเชื่อถือหลักเหตุผลของท่าน คนๆ นั้นก็จะฆ่าท่านเพื่อผล

ประโยชน์ของตัวเขาเอง และถ้าเกิดมีคนสักสิบคนเชื่อถือหลักเหตุผลของท่าน คนทั้งสิบนี้ก็จะฆ่าท่าน และถ้าคนทั้งโลก

ต่างเชื่อถือหลักเหตุผลของท่าน คนทั้งโลกก็จะฆ่าท่านเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง ถูกไหม?"
......"ในด้านตรงกันข้าม ถ้าหากมีคนๆ หนึ่งไม่สนับสนุนทฤษฎีของท่าน คนๆ นั้นก็จะฆ่าท่าน เพราะเห็นว่าท่านใช้คำพูด

ที่ไม่เป็นสิริมงคลนี้มอมเมาชาวบ้าน ถ้าหากมีคนสักสิบคน ไม่เชื่อทฤษฎีของท่าน คนทั้งสิบนี้ก็จะฆ่าท่าน ถ้าหากคนทั้ง

โลกต่างไม่เชื่อทฤษฎีของท่าน ทุกคนพากันเห็นว่าคำพูดของท่านเป็นคำพูดอัปมงคลฝูงชนที่บ้าคลั่งก็จะรุมกันฆ่าท่าน"
......"คนที่เชื่อท่าน ก็คิดจะฆ่าท่าน คนที่ไม่เชื่อท่าน ก็คิดจะฆ่าท่านเช่นกัน ถ้าหากท่านป่าวประกาศทัศนคติของท่านออก

ไป ก็เท่ากับเป็นการหาภัยมาสู่ตัว"
......"ท่านพูดออกไปแล้วมีประโยชน์อะไรหรือเปล่า ถ้าหากไม่มีแต่ยังดันทุรังจะพูด มิเท่ากับเมื่อยปากเปล่าๆ ดอกหรือ"
โรคขี้ขโมย
......ม่อจื้อกล่าวกับท่านอ๋องหลู่หยางเหวินว่า "เวลานี้ ที่นี่มีคนๆ หนึ่ง เขามีอาหารอุดมสมบูรณ์ทั้งหมูเห็ดเป็ดไก่ เหล้ายา

ปลาปิ้งมีมากมายเป็นภูเขาเลากา พ่อครัวของเขาได้ปรุงอาหารเลิศรสให้เขาทานทุกวัน เขากินทิ้งกินขว้าง แต่ครั้นเห็น

ขนมปังแข็งๆ ของชาวบ้านเข้า ก็กลับจ้องมองด้วยความสนใจ ขโมยขนมปังแข็งๆ นั้นมากินเสีย ไม่ทราบว่าเป็นเพราะ

อาหารดีๆ ของคนๆ นั้น มีน้อยเกินไปหรือเป็นเพราะเขามีนิสัยขี้ขโมยกันแน่?"
......ท่านอ๋องตอบว่า "เขาคงจะมีนิสัยขี้ขโมยมากกว่า"
......ม่อจื้อกล่าวต่อไปว่า "ถ้าเช่นนั้น ข้าพเจ้าใคร่ถามท่านว่า ในประเทศของท่านมีที่นารกร้างอยู่มากมาย จะบุกเบิก

อย่างไรก็ไม่หวาดไม่ไหว แล้วยังมีเมืองร้างอีกหลายเมือง จะอยู่อย่างไรก็อยู่ไม่หมด แต่ครั้นเห็นที่ดินของแคว้นซ่งกับ

แคว้นเจิ้งเข้า ท่านก็คิดจะครอบครองท่าเดียว พฤติกรรมของท่านแตกต่างจากคนๆ นั้นหรือไม่?"
......ท่านอ๋องหลู่ตอบว่า "ข้าพเจ้าเหมือนคนๆ นั้นไม่มีผิด ต่างมีนิสัยขี้ขโมย เหมือนๆ กัน"


อธิษฐานต่อประเจ้า

 lQ4......ซิ่วซุนเซ่ากับเมิ่งป๋อฉ่าง ต่างเป็นมหาอำมาตย์บริหารการปกครองในแคว้นหลู่ด้วยกัน คนทั้งสองต่างระแวงแคลงใจ

ซึ่งกันและกัน ไม่ยอมเชื่อใจกัน ดังนั้น จึงเดินทางมาอธิษฐานกับพระเจ้าในศาลเจ้า
......"พระผู้เป็นเจ้า โปรดดลบันดาลให้เราคืนดีกันด้วยเถิด"
......ม่อจื้อทราบเข้า ก็วิจารณ์ "การกระทำเช่นนี้ ช่างโง่เง่าเสียเหลือเกิน ไปศาลเจ้าอธิษฐานว่า ...พระผู้เป็นเจ้า โปรด

ดลบันดาลให้เราคืนดีกันด้วยเถิด...ไร้สาระสิ้นดี"
ทำดีต้องให้คนรู้
......กงเมิ่งจื่อกล่าวกับม่อจื้อว่า "ถ้าหากกำลังทำความดีจริงๆ ใครเล่าจะไม่รู้? ทำไมต้องโฆษณาตัวเองด้วย เหมือนกับผู้

วิเศษที่มีเวทย์มนต์ขลังมากๆ แม้จะธุดงค์อยู่ในป่าลึก ผู้คนก็ยังแห่กันไปหา เอาข้าวของปัจจัยไปถวาย เรียกว่ามีวัตถุ

ปัจจัยเหลือกินเหลือใช้ทีเดียวแหละ หรือจะเปรียบกับสาวงามชาวป่าก็ได้ แม้เธอจะอาศัยอยู่ในป่าในดอย ไม่เคยออกสังคม

แต่ก็มีชายหนุ่มจำนวนมากมาขอแต่งงานกับเธอ ถ้าหากผู้หญิงคนนี้เที่ยวโฆษณาหาคู่ไปทั่ว พวกผู้ชายกลับไม่อยากได้เธอ

เสียอีก เวลานี้ท่านเที่ยวโฆษณาทฤษฎีของตนเอง มิใช่เป็นการเหนื่อยเปล่าดอกหรือ?"
......ม่อจื้อตอบว่า "โลกในทุกวันนี้สับสนวุ่นวายมาก จริงอยู่ คนที่อยากได้ผู้หญิงสวยๆ ไปเป็นเมียนั้นมีอยู่มาก ผู้หญิงสวยๆ

ไม่จำเป็นต้องออกไปข้างนอก ก็มีคนจำนวนมากมาสู่ขอถึงบ้าน แต่คนที่แสวงหาความดีนั้นมีน้อยเหลือเกิน ถ้าหากไม่

โฆษณาตัวเอง พยายามอบรมบ่มสอนคน ผู้คนก็ไม่รู้จักเรา"
......"สมมติว่ามีหมอดูอยู่ 2 คน ก็เก่งด้วยกันทั้งคู่นั่นแหละ แต่คนหนึ่งออกไปข้างนอกเที่ยวดูโชคชะตาราศีให้ชาวบ้าน

ส่วนอีกคนหนึ่งเฝ่าอยู่แต่ในบ้าน ข้าพเจ้าขอถามท่านว่า เซ็งลี้ของใครจะดีกว่ากัน?"
......กงเมิ่งจื่อตอบว่า "เซ็งลี้ของคนที่ออกไปดูหมดข้างนอกย่อมดีกว่า"
......ม่อจื้อ กล่าวว่า "ภารกิจการพิทักษ์ความถูกต้องชอบธรรมก็เหมือนกับหมอดูสองคนนั้นนั่นแหละ ต้องออกไปข้างนอก

เที่ยวพูดเที่ยวโน้มน้าวจูงใจคนจึงจะได้ผลดี เพราะฉะนั้น ทำไมข้าพเจ้าจึงจะไม่ออกไปข้างนอกเที่ยวพูด เที่ยวโฆษณา

ทฤษฎีของข้าพเจ้าต่อชาวบ้านเล่า?"



ไม่มีภูติผี ไยต้องศึกษาพิธีเซ่นไหว้

 lQ3......กงเมิ่งจื่อกล่าวว่า "ผีสางเทวดา ไม่มีดอก"
......และพูดอีกว่า "บัณฑิตพึงศึกษาพิธีเซ่นไหว้"
......ม่อจื้อจึงย้อนว่า "ในเมื่อท่านไม่เชื่อว่ามีผีสางเทวดา แล้วไยต้องศึกษาพิธีเซ่นไหว้เล่า? การกระทำเช่นนี้ ไม่ผิดอะไร

กับการรู้ว่าไม่มีแขก แต่ยังจะศึกษามารยาทในการต้อนรับแขก ไม่มีปลาให้จับ แต่ยังจะถักแห ท่านว่าน่าขันหรือไม่?"



เล่นดนตรีเพราะอยากฟังดนตรี
 lQ4......ม่อจื้อถามบัณฑิตหยูคนหนึ่งว่า "ท่านเล่นดนตรีทำไม?"
......บัณฑิตหยูตอบว่า "ข้าพเจ้าเล่นดนตรีเพราะอยากฟังดนตรี"
......ม่อจื้อกล่าวว่า "ท่านไม่ได้ตอบคำถามของข้าพเจ้านี่นา"
......"ถ้าหากข้าพเจ้าถามว่าท่านสร้างบ้านทำไม"
......"ท่านตอบว่า หน้าหนาวจะได้หลบลมหนาว หน้าร้อยจะได้หลบลมร้อน อีกทั้งเป็นการแบ่งกั้นโลกส่วนตัวออกจากโลก

ภายนอก ชาญหญิงจะได้มีเส้นแบ่งที่แตกต่างกัน"
......"อย่างนี้จึงจะเรียกได้ว่าท่านได้นำเอาเหตุผลที่ว่าทำไมจึงสร้างบ้านมาตอบแก่ข้าพเจ้า
......"เวลานี้ข้าพเจ้าถามท่านว่าทำไมจึงเล่นดนตรี"
......"ท่านกลับบอกว่าเพราะอยากฟังดนตรี"
......"การตอบคำถามแบบนี้ก็เหมือนกับการที่ข้าพเจ้าถามท่านว่า ทำไมจึงสร้างบ้าน แต่ท่านกลับตอบว่า สร้างบ้านเพราะ

อยากได้บ้าน ซึ่งเท่ากับไม่มีคำตอบใช่หรือไม่?"



บัณฑิตหยูเก่งกว่าทารกหรือไม่

 lQ4......กงเมิ่งจื่อกล่าวว่า "ประเพณีที่กำหนดให้ไว้ทุกข์ 3 ปี กำหนดขึ้นเพื่อให้คนเรารู้จักคิดถึงพ่อแม่เหมือนเด็กทารก"
......ม่อจื้อกล่าวว่า "เด็กทารกไร้เดียงสา พวกเขาจึงติดพ่อแม่ ยามใดที่ไม่ได้รับความรักความเอาใจใส่จากพ่อแม่ ก็จะ

ร้องไห้จ้า ทั้งนี้เพราะเหตุอันใดเล่า? ก็เพราะว่าทารกนั้นโง่บริสุทธิ์นั่นเอง"
......"เวลานี้ พวกบัณฑิตหยูกลับกำหนดให้ไว้ทุกข์ 3 ปี เพื่อเรียกร้องให้ผู้คนคิดถึงพ่อแม่หรือติดพ่อติดแม่เหมือนตอนที่ยัง

เป็นเด็กทารก ข้าพเจ้าใคร่ถามว่า สติปัญญาของบัณฑิตหยูดีกว่าเด็กทารกหรือไม่?"



คุณธรรมล้ำค่าที่สุด

 lQ5......ม่อจื้อกล่าวว่า "สรรพสิ่งในโลกนี้ ไม่มีอะไรสำคัญเกินกว่าคุณธรรม"
......"ถ้าหากมีคนบอกเราว่า ..ข้าเอาหมวกและรองเท้าให้เจ้า แล้วเจ้าก็จงมอบแขนและขาให้ข้า เอาไหม?"
......"ข้าพเจ้าคิดว่าคงจะไม่มีใครเอา เพราะอะไร ก็เพราะว่าหมวกกับรองเท้าไม่สำคัญเท่ากับมือและเท้า"
......"หรือถ้ามีใครพูดว่า ข้าจะมอบแผ่นดินให้เจ้า แต่เจ้าต้องมอบชีวิตให้ข้าเจ้าจะเอาไหม"
....."ข้าพเจ้าคิดว่าก็คงไม่มีใครเอาเหมือนกัน เพราะอะไรหรือ ก็เพราะว่าแผ่นดินไม่สำคัญเท่ากับชีวิตของตัวเองนะซี"
......"แต่ว่า มนุษย์กลับยอมตาย เพื่อสิ่งหนึ่ง สิ่งนั้นคือ คุณธรรม เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงกล้าพูดได้เต็มปากว่า คุณธรรม

สำคัญกว่าชีวิต ในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดล้ำค่าเกินกว่าคุณธรรมอีกแล้ว"



ปาบ 6 ประการ

 lQ3......ม่อจื้อกล่าวว่า "ควรละทิ้งอารมณ์ร้าย 6 ชนิด คือ รัก โลภ โกรธ หลง ดีใจ เสียใจ ยามว่าง ควรใช้ความคิดอย่างลึกซึ้ง

ยามพูด ควรสอนให้ผู้คนรักความถูกต้องชอบธรรม ยามกระทำ ควรทำงานที่เป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติ ถ้าหากทำได้เช่นนี้
......"ถ้าหากมีคนบอกเราว่า ..ข้าเอาหมวกและรองเท้าให้เจ้า แล้วเจ้าก็จงมอบแขนและขาให้ข้า เอาไหม?"
......"ข้าพเจ้าคิดว่าคงจะไม่มีใครเอา เพราะอะไร ก็เพราะว่าหมวกกับรองเท้าไม่สำคัญเท่ากับมือและเท้า"
......"หรือถ้ามีใครพูดว่า ข้าจะมอบแผ่นดินให้เจ้า แต่เจ้าต้องมอบชีวิตให้ข้าเจ้าจะเอาไหม"
....."ข้าพเจ้าคิดว่าก็คงไม่มีใครเอาเหมือนกัน เพราะอะไรหรือ ก็เพราะว่าแผ่นดินไม่สำคัญเท่ากับชีวิตของตัวเองนะซี"
......"แต่ว่า มนุษย์กลับยอมตาย เพื่อสิ่งหนึ่ง สิ่งนั้นคือ คุณธรรม เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงกล้าพูดได้เต็มปากว่า คุณธรรม

สำคัญกว่าชีวิต ในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดล้ำค่าเกินกว่าคุณธรรมอีกแล้ว"



อย่าทิ้งคุณธรรมเป็นอันขาด

 lS4......ม่อจื้อกล่าวกับลูกศิษย์ว่า "ยามใดที่พวกเจ้าไม่อาจพิทักษ์ความเป็นธรรมก็ไม่ควรบิดเบือนความเป็นธรรมให้สอด

คล้องกับพวกเจ้า อย่าทิ้งคุณธรรมเด็ดขาด เรื่องนี้ก็คล้ายกับช่างไม้ที่ทำเฟอร์นิเจอร์ไม่สำเร็จ พวกเขาก็ไม่เคยทิ้งเครื่อง

ไม้เครื่องมือของตน"



รู้กับทำ ต้องเป็นเอกภาพกัน

 lQ6......ม่อจื้อกล่าวว่า "สมมติว่า เวลานี้มีคนตาบอดคนหนึ่งอยู่ที่นี่ และพูดว่าปูนเป็นสีขาวถ่านหินเป็นสีดำ คนตาดีๆ ก็คงไม่

กล้าว่าเขาพูดไม่ถูก"
......"แต่ว่า ถ้าเอาของสีขาวกับของสีดำมาปนรวมๆ กัน แล้วเรียกคนตาบอดคนนั้นมาแยกแยะว่าอะไรเป็นสีขาว อะไร

เป็นสีดำ คิดว่าเขาคงจะแยกไม่ออกแน่นอน เพราะฉะนั้น คนตาบอดจึงเป็นคนที่ไม่รู้อะไรขาว อะไรดำ ในที่นี้ไม่ได้ หมาย

ความว่า คนตาบอดไม่รู้จักสรรพนามของสีต่างๆ แต่หมายความว่าพวกเขาไม่มีปัญญาแยกแยะสีต่างๆ ได้จริงๆ
......"บัณฑิตในยุคปัจจุบันนี้ก็เช่นกัน พูดเก่ง พูดดี โดยเฉพาะในเรื่องของคุณธรรม แม้แต่พระเจ้าหวี่มหาราช พระเจ้าซัง

ทังมหาราช ก็ยังสู้ไม่ได้ แต่ถ้าเอาเรื่องที่ดูคล้ายกับ ถูกต้องชอบธรรมกับเรื่องที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรมมาปนเปกัน

แล้วให้บัณฑิตในยุคนี้ตัดสินแยกแยะ พวกเขาจะจนปัญญา แยกแยะไม่ถูกทันที"
......"เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงกล้าพูดว่า บัณฑิตในยุคนี้ไม่รู้ดอกว่าอะไรคือคุณธรรม ซึ่งไม่ได้หมายความว่าพวกเขาพูด

เรื่องคุณธรรมไม่เป็น แต่หมายความว่าในความเป็นจริงนั้น พวกเขาไม่ได้ทำต่างหาก"



อยากเป็นคนดี แต่ไม่ยอมให้คนอื่นช่วยเหลือ

 lS1......ม่อจื้อกล่าวว่า "บัณฑิตสมัยนี้ ต่างนึกอยากจะประสบความสำเร็จในด้านคุณธรรม แต่ถ้าบังเอิญถูกคนรอบกายวิพากษ์

วิจารณ์ด้วยความปรารถนาดี อยากเห็นเขาแก้ไขปรับปรุงความประพฤติให้ดีขึ้น เขากลับโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ คนแบบนี้ ก็

เหมือนกับคนที่อยากสร้างบ้านของตัวเองให้สำเร็จ แต่เมื่อชาวบ้านมาช่วยเขาสร้างบ้าน เขากลับไม่พอใจ ช่างไม่มีเหตุผล

เอาเสียเลย"



เลี้ยงนักรบดีกว่าเลี้ยงผู้หญิง

 lQ3......ม่อจื้อกล่าวกับกงเหลียงหวนจือว่า "แคว้นเว่ยเป็นแคว้นเล็กฟ แคว้นหนึ่ง อีกทั้งตั้งอยู่กึ่งกลางระหว่างแคว้นใหญ่สอง

แคว้น จะเปรียบไปก็เหมือนกับคนจนๆ คนหนึ่งที่อาศัยอยู่ท่ามกลางหมู่คนรวย คนจนถ้าขืนไปเอาอย่างคนรวย พิถีพิถันใน

เรื่องการกินการอยู่ แต่งตัวสวยๆ กินทิ้งกินขว้าง มีหวังล้มละลายทันที"
......"เวลานี้ ในพระราชวังของพระองค์ มีรถหรูๆ นับร้อยคัน ม้าที่กินถั่วกินข้าวอย่างดีก็มีอีกหลายร้อยตัว นางในที่แต่งตัว

ด้วยผ้าด่วนแพรพรรณชั้นดีมีอยู่อีกนับร้อยนาง ถ้าหากรู้จักประหยัดเงินประหยัดทองที่ใช้ไปกับการเล่นรถ เลี้ยงม้า บำรุง

บำเรออิสตรี แล้วนำเงินก้อนนั้นมาเลี้ยงนักรบละก้อ พระองค์จะมีนักรบเก่งๆ ดีๆ ไม่ต่ำกว่าพันคนขึ้นไป"
......"หากทำได้เช่นนี้ ยามประเทศประสบวิกฤต หรือตกอยู่ในภาวะคับขันพระองค์ก็ไม่ต้องปวดขมองกับปัญหาขาดแคลน

นักรบ พระองค์สามารถปัญชานักรบสักสี่-ห้าร้อยคนไปป้องกันแนวหน้าสั่งนักรบอีกสอง-สามร้อยคน ไประวังแนวหลัง นักรบ

เหล่านี้ เมื่อเทียบกับนางสนมหลายร้อยคน ที่ประดับอยู่ทั้งหน้าวังและท้ายวังแล้ว พระองค์คิดว่าอันไหนปลอดภัยกว่ากัน

สำหรับกระหม่อมแล้วเห็นว่าการเลี้ยงนักรบย่อมปลอดภัยกว่าการเลี้ยงผู้หญิง"
ศิษย์ที่เห็นแก่ลาภยศสรรเสริญ
......ม่อจื้อแนะนำศิษย์คนหนึ่งไปเป็นขุนนางที่แคว้นเว่ย ไม่นานนัก ศิษย์คนนั้น ก็กลับมาเยี่ยมอาจารย์
......"ม่อจื้อถามเขาว่า เจ้ากลับมาทำไมอีก"
......ศิษย์ตอบว่า "ท่านอ๋องไม่รักษาสัจจะ ทีแรกพระองค์บอกว่า จะให้ข้าวสารแก่ศิษย์ปีละหนึ่งพันถัง แต่ครั้นเอาเข้าจริงๆ

กลับให้แค่ห้าร้อยถังเท่านั้น ศิษย์จึงกลับมา"
......ม่อจื้อกล่าวว่า "ถ้าหากท่านอ๋องประทานข้าวสารให้เจ้าปีละหนึ่งพันถังจริงๆ เจ้าจะผละจากแคว้นเว่ยอีกหรือไม่"
......ลูกศิษย์ตอบว่า "ศิษย์คงไม่ไปไหนอีกแล้ว"
......ม่อจื้อกล่าวว่า "ถ้าเช่นนั้น เจ้าก็มิได้ผละจากแคว้นเว่ยเพราะท่านอ๋องไร้สัจจะนะซี แต่ผละจากแคว้นเว่ยเพราะเห็นว่า

ได้ลาภ ยศ สรรเสริญน้อยเกินไป"



งานที่ได้กำไรหลายร้อยเท่าตัว

 lQ2......ม่อจื้อกล่าวว่า "พวกพ่อค้าเดินทางไปค้าขายทั่วทั้งสี่ทิศ ขอเพียงมีกำไรสักร้อยเท่า แม้จะต้องข้ามน้ำข้ามภูเขา เสี่ยง

ภัยจากโจรผู้ร้าย ลำบากแทบเลือดตากระเด็น พวกเขาก็ยอม คนมีความรู้ในสมัยนี้ แค่นั่งเฉยๆ คุยเรื่องคุณธรรม ไม่

ต้องลำบากลำบนถ่อสังขารข้ามน้ำข้ามภูเขาไปไหน ไม่ต้องเสี่ยงภัยจากโจรผู้ร้าย ก็ได้กำไรตั้งหลายร้อยเท่าแล้ว แต่พวก

เขากลับไม่อยากทำ จะเห็นได้ชัดว่าในเรื่องการคำนวณผลได้ผลเสียนั้น พวกมีวิชาความรู้ละเอียดละออสู้พวกพ่อค้าไม่ได้"



ใช้งานไม่เหมาะสม

 lS2......อำมาตย์คนโปรดของท่านหลู่อ๋องเสียชีวิตไป ชาวหลู่คนหนึ่งได้เขียนบทสดุดีอำมาตย์ผู้นี้ หลู่อ๋องอ่านแล้วรู้สึกพอ

พระทัยมาก จึงแต่งตั้งให้ชายคนนั้นเป็นขุนนาง
......ม่อจื้อทราบเรื่องเข้า จึงวิพากษ์วิจารณ์ว่า "บทสดุดีเป็นบทความยกย่องสรรเสริญคุณงามความดีของผู้ตาย แต่ท่าน

อ๋องกลับชอบอกชอบใจบทสดุดีบทนี้และแต่งตั้งให้ผู้แต่งบทสดุดีเป็นขุนนาง เป็นการแต่งตั้งที่ไม่ตรงกับความสามารถ

เหมือนกับเอาม้าไปไถนาอย่างไรอย่างนั้น ช่างไม่เหมาะสมเอาเสียเลย"



ไหว้เจ้าขอพร

 lQ4......ในแคว้นหลู่ มีพิธีกรเซ่นไหว้คนหนึ่ง นำลูกหมูไปเซ่นไหว้เทพเจ้า เพื่อขอพรร้อยอย่างจากเทพเจ้า
......ม่อจื้อรู้เรื่องเข้าก็พูดว่า "ไม่ได้ดอก ให้ของเขานิดๆ หน่อยๆ ก็จะให้เขาตอบแทนอะไรต่อมิอะไรตั้งมากมาย ถ้าขืน

เป็นแบบนี้ วันหลังใครเขาจะกล้ารับของจากเราอีก พิธีกรเซ่นไหว้คนนั้นเอาลูกหมูไปเซ่นไหว้เทพเจ้า แล้วอ้อนวอนขอพร

ตั้งร้อยอย่าง อย่างนี้เทพเจ้าที่ไหนจะกล้ารับของเซ่นไหว้จากเขาอีก มหาราชยุคก่อน ทำพิธีเซ่นไหว้เทพเจ้า ก็ด้วยความ

เลื่อมใสศรัทธาจากใจจริง ไม่มีการวอนขออะไรทั้งสิ้น ใช้ลูกหมูตัวเดียว ก็จะขอพรตั้งร้อยอย่าง ถ้าข้าพเจ้าเป็นเทพเจ้า

ละก้อ แทนที่จะสนองความต้องการของคนรวย ข้าพเจ้าสู้คุ้มครองคนจนๆ ที่ไม่มีปัญญาซื้อของมาเซ่นไหว้ยังจะดีกว่า"



ขายคุณธรรม

 lQ6......ม่อจื้อใช้ให้กงซั่งกั้วศิษย์ของตนเดินทางไปพบท่านอ๋องเย่ เพื่อนำเสนอนโยบาย เย่อ๋องฟังนโยบายของกงซั่งกั้วจบ ก็

รู้สึกเลื่อมใสมาก
......เย่อ๋องบอกกงซั่งกั้วว่า "ถ้าหากท่านสามารถเชื้อเชิญม่อจื้อมาสอนสั่งข้าพเจ้ายังแคว้นของข้าพเจ้าได้ ข้าพเจ้ายินดี

มอบแผ่นดินห้าร้อยลี้ที่ยึดมาจากแคว้นอู๋ใหญ่เขา"
......กงซั่งกั้วตอบตกลงทันที
......ดังนั้น เย่อ๋องจึงจัดรถม้า 50 คัน ให้กงซั่งกั้วนำไปต้อนรับม่อจื้อยังแคว้นหลู่
......เมื่อมาถึงแคว้นหลู่ กงซั่งกั้วก็เข้ามารายงานม่อจื้อว่า "ศิษย์ได้นำเอาข้อคิดเห็นของท่านอาจารย์ไปปาฐกต่อเย่อ๋อง เย่

อ๋องพอพระทัยมาก ตรัสว่า ถ้าหากอาจารย์ยินดีเดินทางไปสอนสั่งพระองค์ที่แคว้นเย่ พระองค์ก็จะพระราชทานดินแดนห้า

ร้อยลี้ที่ยึดครองมาจากแคว้นอู๋แก่ท่าน"
......ม่อจื้อได้ยินดังนี้ ก็กล่าวว่า "เจ้าคิดว่าเย่อ๋องมีเจตนาอย่าง ถ้าหากเย่อ๋องยินดีรับฟังความคิดเห็นของข้า ยินดีปฏิบัติ

ตามหลักธรรมของข้า ข้าก็จะเดินทางไปแคว้นเย่ ยินดีปฏิบัติต่อพระองค์ดุจดังขุนนางคนอื่นๆ กินอาหารในส่วนของคน

เพียงคนเดียว สวมใส่เสื้อผ้าเท่าที่คนๆ หนึ่งพึงต้องการก็พอแล้ว ทำไมจึงต้องใช้ลาภยศสรรเสริญมาหลอกล่อข้า ถ้าหาก

เย่อ๋องไม่เชื่อคำสอนของข้า ไม่ใช้นโยบายที่ข้าเสนอขึ้น แต่ข้ากลับถ่อสังขารเดินทางไปไกลแสนไกลไปยังแคว้นเย่ มิเท่า

กับเป็นการเดินเร่ขาย "คุณธรรม" ดอกหรือ ถ้าคิดจะขายคุณธรรมละก้อ ขายที่นี้ก็ได้ ไม่จำเป็นต้องวิ่งโร่ไปขายถึงแคว้น

เย่ดอก"



หลักการสอน

 lS3......ม่อจื้ออยากให้เว่ยเย่เดินทางไปแสดงธรรมยังแคว้นต่างๆ
......เว่ยเย่ถามว่า "ถ้าหากศิษย์เดินทางถึงแคว้นต่างๆ ได้พบกับพระราชาในแคว้นเหล่านั้นแล้ว ศิษย์ควรพูดอะไรกับพวก

เขาเป็นเรื่องแรก"
......ม่อจื้อตอบว่า "เมื่อเดินทางไปถึงแคว้นหนึ่งแคว้นใด ควรจะพินิจพิเคราะห์ให้ดีเสียก่อน ต้องดูสิว่าแคว้นของเขากำลัง

ประสบกับปัญหาเร่งด่วนอะไรบ้าง แล้วจึงนำปัญหาเร่งด่วนนั้นมาพูด
......"ถ้าหากแคว้นนั้นประสบกับปัญหาการเมืองการปกครอง การเมืองภายในปั่นป่วนวุ่นวาย สังคมขาดระเบียบ พระราชา

โง่เงาไร้ความสามารถ ก็เสนอให้พวกเขาเคารพยกย่องคนดีคนเก่งเฟ้นหาคนดี คนเก่งมาช่วยงาน
......"ถ้าหากแคว้นนั้นยากจน เศรษฐกิจซบเซา ก็เสนอให้พวกเขาประหยัดมัธยัสถ์ อย่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือยเกินไป งานศพ

อย่าจัดหรูหราเกินไป"
......"ถ้าหากประชาชนในแคว้นนั้นสำรวยมาก ชอบร้องรำทำเพลงเสพสุรายาเมาก็สอนให้พวกเขาอย่างลุ่มหลงในรูป รส

กลิ่น เสียง อย่าเชื่อพรหมลิขิต"
......ถ้าหากประชาชนในแคว้นนั้นมักมากในกาม หยาบคายไร้มารยาท ไม่เคารพนับถือศาสนา ก็สอนให้พวกเขารู้จัก

เคารพนับถือเทพยดาฟ้าดิน เชื่อเรื่องผีสางเทวดา"
......"ถ้าหากประชาชนในแคว้นนั้นชอบทำสงครามรุกรานผู้อื่น ก็สอนให้พวกเขามีเมตตาจิตแผ่รักให้ไพศาล ไม่โจมตี

รุกรานซึ่งกันและกัน สอนให้พวกเขาคัดค้านสงคราม"
......"เพราะฉะนั้น จึงไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัว เจ้าต้องวิเคราะห์เสียก่อนว่า พวกเขากำลังเผชิญกับปัญหาเร่งด่วนอะไรบ้าง

จากนั้นจึงเสนอวิธีแก้ปัญหานั้นๆ อย่าถูกจุดจึงจะประสบความสำเร็จ"



ทำนายอนาคต

 lQ3......เผิงชิงเซินกล่าวกับม่อจื้อว่า "เรื่องในอดีตเป็นเรื่องที่รู้ได้ แต่เรื่องในอนาคตเป็นเรื่องที่ไม่มีทางทราบล่วงหน้า"
......ม่อจื้อกล่าวว่า "สมมติว่าตอนนี้พ่อแม่ของท่านประสบภัยอยู่ไกลออกไปร้อยลี้ ถ้าท่านสามารถไปถึงที่เกิดเหตุได้ภาย

ในวันนั้น ท่านก็สามารถช่วยพวกเขาได้ทันการณ์ แต่ถ้าไม่สามารถไปให้ถึงที่เกิดเหตุภายในวันนั้น พวกเขาก็จะต้องตาย"
......"และถ้าตอนนี้ที่นี่มีรถม้า 2 คัน คันหนึ่งแข็งแรงมากทั้งรถทั้งม้า ส่วนอีกคันหนึ่ง รถก็โทรม ม้าก็แก่ อยากทราบว่า

ท่านจะเลือกใช้รถม้าคันไหน"
......เผิงชิงเซินตอบว่า "ก็ต้องเลือกคันที่แข็งแรงทั้งรถทั้งม้านะสิ จะได้เดินทางถึงที่เกิดเหตุเร็วขึ้น"
......ม่อจื้อกล่าวว่า "ถ้างั้น ท่านก็ทำนายอนาคตได้แล้วสิ"



งานทุกอย่างต้องมีหลักเกณฑ์

 lQ5......การทำงานทุกอย่างในโลกนี้ ล้วนต้องมีหลักเกณฑ์ ไม่มีหลักเกณฑ์แต่อยากประสบความสำเร็จ นั่นเป็นเรื่องที่เป็นไป

ไม่ได้ ไม่ว่าคนผู้นั้นจะเป็นไพร่หรือผู้ดี เป็นนายกหรือกรรมกร ก็ต้องทำงานตามหลักเกณฑ์ทั้งสิ้น
......ช่างไม้จะเลื่อยไม้เป็นรูปสี่เหลี่ยมได้ ก็ต้องใช้ไม้ฉากใช้ไม้บรรทัด จะเลื่อยไม้เป็นรูปวงกลม ก็ต้องใช้วงเวียน ไม่ว่า

นายช่างคนนั้นจะเก่งหรือไม่เก่ง ต่างต้องใช้เครื่องไม้เครื่องมือเหล่านี้เป็นหลักเกณฑ์ เพียงแต่ว่านายช่างที่เก่งกาจนั้น

มักทำงานได้ถูกต้องตรงกับขนาดที่วัดได้ ส่วนนายช่างที่ไม่เก่งแม้จะวัดขนาดไว้แล้ว แต่กลับทำงานตามใจฉัน ไม่ทำตาม

หลักเกณฑ์ที่ตั้งไว้
......เพราะฉะนั้น ในการทำงานของคนทุกวงการอาชีพ จึงต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์จึงจะดี



เทคนิคในการสรรหาคนดี คนเก่ง

 lS2......ถ้าเช่นนั้น จะสรรหาคนดี คนเก่ง ได้อย่างไร?
......สมมติว่าเราอยากให้ประเทศของเรามีนักรบที่ยิงธนูแม่น ขี่ม้าเก่ง เพิ่มจำนวนมากขึ้น เราก็ต้องให้เงินเดือนดีๆ

ตำแหน่งสูงๆ แก่คนเหล่านี้ อีกทั้งต้องเคารพพวกเขาให้เกียรติยกย่องพวกเขา พวกแม่นธนู ขี่ม้าเก่ง ก็จะแห่กันมาหาเรา
......อีกทั้งคนดีคนเก่งที่พูดถึงนี้ หมายถึงคนที่มีคุณธรรมสูงส่ง มิวิชาความรู้สึกซึ้งกว้างขวาง มีวาทศิลป์ดี ปกติคนที่มี

คุณสมบัติเช่นนี้ก็จัดได้ว่าเป็นเพชรน้ำเอกของชาติ เป็นผู้ช่วยที่ดีของราชสำนักอยู่แล้ว ถ้าคิดจะให้คนดีๆ เช่นนี้มาช่วยงาน

ก็ยิ่งต้องให้เงินเดือนงามๆตำแหน่งสูงๆ แก่พวกเขา ต้องเคารพนับถือพวกเขา ยกย่องให้เกียรติพวกเขา หากทำได้เช่นนี้

คนดีคนเก่งในประเทศนี้ก็จะเพิ่มจำนวนมากขึ้น



เหตุผลในการมอบอำนาจให้คนดี

 lQ1......มหาราชยุคโบราณ มักจะแต่งตั้งคนที่มีคุณธรรมให้อยู่ในตำแหน่งสูงทรงเชิดชูคนดี มีความสามารถ แม้แต่ชาวนา

หรือกรรมกร ถ้าหากมีความสามารถก็จะได้รับการส่งเสริม มียศฐานบรรดาศักดิ์ มีเบี้ยหวัดบำนาญกิน ได้รับการเลือก

เลื่อนให้ขึ้นมารับตำแหน่งหน้าที่อันสำคัญ และมีอำนาจยิ่งใหญ่
......ทั้งนี้เนื่องจากตำแหน่งไม่ใหญ่ ประชาชนจะไม่เคารพ เงินเดือนไม่สูง ประชาชนจะไม่เชื่อถือ มีอำนาจไม่มาก

ประชาชนจะไม่เกรงกลัว การมอบสามสิ่งนี้ให้แก่คนเก่ง มิใช่เพราะพิศวาสคนเก่ง แต่เพราะอยากเห็นเขาประสบความ

สำเร็จในการบริหารประเทศ
......เพราะฉะนั้น จึงต้องจัดวางตำแหน่งตามคุณธรรมแบ่งหน้าที่การงานตามตำแหน่งขุนนาง ให้รางวัลตามผลงาน การ

แต่งตั้งตำแหน่งและเงินเดือน ล้วนขึ้นอยู่กับความดีความชอบที่ทำไว้ ด้วยเหตุนี้เอง คนที่เป็นขุนนางจึงไม่สูงศักดิ์ตลอดกาล

และสามัญชนก็ไม่ต่ำต้อยตลอดกาลเช่นกัน ใครดีใครเก่งก็ขึ้นสูง ใครเลวใครไม่เอาไหน ก็ลดต่ำลงมา ผดุงความถูกต้อง

ชอบธรรมให้คงอยู่คู่สังคม ไม่ให้มีความอยุติธรรมเกิดขึ้นอย่างเด็ดขาด



ข้อดีของการเลือกใช้คนดี

 lS4......คนดีสามารถเป็นผู้ช่วยของพระราชาและเป็นขุนนางระดับต่างๆ ได้สบายมา ขอเพียงมีคนดีอยู่ข้างกาย เจ้านายก็ไม่

ต้องทุกข์กายทุกข์ใจ แต่จะประสบความสำเร็จมีชื่อเสียงได้โดยไม่ลำบากนัก การมีคนดีอยู่ข้างกาย เป็นการเชิดหน้าชูตา

เจ้านาย อีกทั้งไม่มีคำว่าไม่สมหวัง
......ม่อจื้อกล่าวว่า "ยามราบรื่น พระราชาจะต้องเลือกคนดีไว้ใช้งาน ยามไม่ราบรื่น ก็ยิ่งต้องเลือกหาคนดีไว้ช่วยงาน การ

เลือกคนดีไว้ใช้งานเป็นรากฐานอันสำคัญของการเมืองการปกครอง

96 ธรรมคือแรงใจ | ปิ๊งแว๊บ ! ปััญญาแจ่มบรรเจิด | อ่านธรรม | มูลนิธิเมตตาอาทร | เสบียงบุญ | วิถีอนุตตรธรรม |

โปรดอ่านกฎกติกาก่อนแสดงความคิดเห็น

1. โปรดงดเว้น การใช้คำหยาบคาย ส่อเสียด ดูหมิ่น กล่าวหาให้ร้าย สร้างความแตกแยก หรือกระทบถึงสถาบันอันเป็นที่เคารพ
2. ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นเวบบอร์ดโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไปและสมาชิก
ซึ่งทีมงาน 96rangjai มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น และไม่สามารถนำไปอ้างอิงทางกฎหมายได้
3. หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป
4. ทีมงาน 96rangjai ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็น โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ต่อเจ้าของความคิดเห็นนั้น